วิกฤต ‘คนชั้นกลาง’
คอลัมน์ : สามัญสำนึก ผู้เขียน : วิมล ตัน
มี 2 เรื่องที่เกิดขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่คาดว่าส่งผลต่ออนาคตมนุษย์เงินเดือนในยุคปัจจุบัน
หนึ่ง คือ การเปิดโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด ของธนาคารกสิกรไทย ที่ใช้ชื่อว่า“เกษียณก่อน เกษมสุข” เปิดให้พนักงานอายุระหว่าง 45-60 ปี สมัครใจลาออก โดยเสนอเงินชดเชย บวกเงินช่วยเหลือพิเศษอีก 8-12 เท่าของเงินเดือน นับเป็นผลตอบแทนก้อนโต ด้วยเหตุผลที่ว่า เปิดโอกาสให้พนักงานเปลี่ยนอาชีพที่เหมาะสมยิ่งกว่า หรือเพื่อพักรักษาตัวจากอาการเจ็บป่วย
ข่าวนี้เชื่อว่า ฝ่ายทรัพยากรบุคคลขององค์กรอื่น ไม่เฉพาะวงการแบงก์ ต้องนำโครงการนี้มาขบคิดต่อว่า 1.ควรเปิดเออร์ลี่ฯตามกสิกรไทยหรือไม่
2.ที่ต้องคิดให้หนักกว่านั้น คือ เงื่อนไขเออร์ลี่ฯที่กสิกรไทย เปิดศักราชใหม่ ร่นอายุจากปกติ กำหนดก่อนเกษียณที่ 55 ปี กลายมาเป็นอายุ 45 ปี
เป็นสัญญาณเตือนว่า โลกยุคดิจิทัลเคลื่อนที่เร็ว องค์กรต้องมีศักยภาพ มีประสิทธิภาพสูงพอที่จะรับมือกับการแข่งขันทุกสภาวะ พนักงานในองค์กรก็คงเช่นเดียวกัน ต้องพร้อมทำงานอย่างเต็มกำลังทั้งร่างกายและจิตใจ หากไม่พร้อม ใจไม่เต็มร้อยหรือร่างกายเจ็บป่วย เมื่อนั้น องค์กรก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้ทันท่วงที
เป็นโจทย์ใหญ่ที่มนุษย์เงินเดือน ต้องคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจเลือกแนวทางที่ดีที่สุด
สอง คือ การเสวนาหัวข้อ “อวสานชนชั้นกลาง” ที่ HOW Bangkok ที่มีผลให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งคำถามถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันว่า คนชั้นกลางในสังคมไทยกำลังเผชิญกับวิกฤต “กับดักสองชั้น” เมื่อเศรษฐกิจไทยซบเซาต่อเนื่องหลายปี ส่งผลให้รายได้ตามไม่ทันค่าครองชีพ รายจ่ายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้กลับเพิ่มช้ากว่า หนำซ้ำเทคโนโลยียุคดิจิทัลที่กำลังมีบทบาทสูง ทางหนึ่งมีผลต่อค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ไปกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อีกทางคือ เมื่อเทคโนโลยี AI กำลังจะเข้ามาทดแทนแรงงานคน หลายบริษัทเริ่มใช้ AI ทำให้เกิดการแย่งงานคน มีการปลด เลิกจ้างคน เพื่อลดเงินเดือน หันไปลงทุนกับ AI ที่นัยว่า ได้ประสิทธิภาพ และรวดเร็วทันใจกว่า
“ชนชั้นกลาง” โดยทั่วไป เข้าใจตรงกันว่า หมายถึง กลุ่มคนที่มีระดับรายได้ปานกลาง มั่นคง พอมีพอใช้ ไม่รวยไม่จน มีการศึกษาที่ดีระดับหนึ่ง มีชีวิตที่สุขสบายกว่าชนชั้นล่าง (หรือกลุ่มเปราะบางที่รัฐบาลจำกัดความผู้ได้รับความช่วยเหลือจากสวัสดิการรัฐ) แต่ขณะเดียวกัน ชนชั้นกลางก็ไม่ได้ร่ำรวย หรือมีอำนาจเท่าชนชั้นสูง
ความแตกต่างที่ชัดเจนของชนชั้นกลาง คือ เป็นกลุ่มคนที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม เพราะเป็นกลุ่มคนทำงาน เป็นมดงานที่เสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถูกกำกับควบคุมผ่านระบบการจ้างงานของบริษัท และสวัสดิการแบบบังคับผ่านมาตรา 33 ของประกันสังคม
ความเหมือนกัน คือ คนชั้นกลาง “อยากรวย” ดังนั้นจะมองหาโอกาส อาชีพใหม่ ๆ ที่ทำให้กลายเป็นเศรษฐี หลายคนอยากเป็นเจ้าของกิจการ อุตสาหะพยายามที่จะเก็บหอมรอมริบ ทุ่มเงินออมไปกับการเปิดกิจการตามฝัน ไม่ว่าจะเป็นร้านคาเฟ่เก๋ ๆ ร้านขนมน่ารัก ๆ ที่เชื่อว่าเมื่อประสบความสำเร็จ จะได้เลิกทำงานประจำเสียที
แต่จนแล้วจนรอด ฝันสลาย เพราะร้านเปิดใหม่เต็มไปหมด ทนได้ไม่กี่เดือนทุนหมดก็ต้องปิดตัว กลับมาจดจ่อกับงานประจำเริ่มต้นเก็บเงินหาทุนใหม่วนลูปไป
สังคมปัจจุบันแข่งขันสูง การเลียนแบบเกิดขึ้นแทบจะทุกนาที ไอเดียไม่เจ๋งจริง ไม่มีสิทธิเกิด โอกาสที่จะมีเศรษฐีใหม่น้อยลงทุกที ยิ่งมี AI เข้ามา ทำให้ความฝันของคนชั้นกลางริบหรี่ลงไปอีก
ยิ่งสังคมมีความเหลื่อมล้ำเพิ่มมากขึ้น สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันทำให้คนรวยยิ่งรวย ขณะที่คนจนก็ยังจน แต่คนจนยังได้รับสวัสดิการอุดหนุนจากรัฐบาลแบบผูกขาดถาวร ความเหลื่อมล้ำก็ยิ่งถ่างออก ก็ยิ่งทำให้ชนชั้นกลาง ที่อยู่ตรงกลางแบกรับความกดดัน เพราะเป็นคนกลุ่มหลักที่เป็นผู้เสียภาษีให้ประเทศ แต่กลับไม่ค่อยได้รับการดูแลจากภาครัฐสักเท่าไหร่
ความท้อแท้สิ้นหวัง กำลังเล่นงาน “คนชั้นกลาง”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : วิกฤต ‘คนชั้นกลาง’
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net