คลังคาดเศรษฐกิจดีกว่าคาด ปรับจีดีพีปี 68 โต 2.2%
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สศค. ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 โดยคาดจะขยายตัวที่ 2.2% ต่อปี ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นจากเดิมที่คาดจะโต 2.1% โดยทิศทางนี้สอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่เพิ่งปรับเพิ่มจีดีพีไทยจาก 1.8% เป็น 2%
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยมาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรม จะกลับมาขยายตัว 1.2% ต่อปี จากที่หดตัว 0.4% ในปีก่อน โดยเฉพาะจากการฟื้นตัวของการผลิตยานยนต์ และแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ต่อมาเป็นการส่งออก คาดจะขยายตัวที่ 5.5% เพิ่มจากประมาณการครั้งก่อนที่ 2.3% เนื่องจากมีการเร่งนำเข้าของประเทศคู่ค้าที่สูงกว่าคาดในครึ่งแรก เช่นเดียวกับการนำเข้าที่ขยายตัว 5.0% โดยมาจากการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อนำมาผลิตเพิ่ม
ส่วนสุดท้ายมาจากการบริโภคภาคเอกชน คาดจะขยายตัว 3.1% เห็นได้จากการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ขยายตัวดีต่อเนื่อง 9 ไตรมาส
การลงทุนภาคเอกชน จะขยายตัวที่ 3.0% การขอรับการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอกว่า 1 ล้านล้านบาท การบริโภคภาครัฐ คาดจะขยายตัว 1.2% ต่อปี การลงทุนภาครัฐ 3.9% ต่อปี หลังการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และยังมีงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท ที่ได้ทยอยเบิกจ่ายลงสู่ระบบเศรษฐกิจแล้ว อย่างไรก็ตาม ภาคการท่องเที่ยวมีการปรับประมาณการลดลงจากเดิม คาดจะมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามา 35.5 ล้านคน ลดเหลือ 34.5 ล้านคน ทำให้รายได้ลดจาก 1.67 ล้านล้านบาท เหลือ 1.62 ล้านล้านบาท
นายพรชัย กล่าวว่า การประมาณการเศรษฐกิจในครั้งนี้ ได้นำผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ เช่น น้ำท่วมภาคเหนือ และเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มาคำนวณด้วยแล้ว และได้เตรียมมาตรการรองรับไว้แล้วด้วย ส่วนความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ประเมินว่าผลกระทบมีจำกัดอยู่เฉพาะในพื้นที่ชายแดน เนื่องจากมูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา คิดเป็นเพียง 1.4% ของการค้าทั้งหมด และการพึ่งพานักท่องเที่ยวจากกัมพูชาก็มีน้อย จุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยา ก็อยู่ห่างจากพื้นที่ขัดแย้งเป็นอย่างมาก
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามใกล้ชิดระยะต่อไป ได้แก่ นโยบายด้านภาษีของสหรัฐและผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในและนอกประเทศ ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชน และการย้ายฐานการลงทุนและการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐ