กลางส.ค.ฝนชุกทั่วไทย เตือนภาคเหนือพื้นที่เสี่ยงท่วม
ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับ สาเหตุน้ำท่วมหนักภาคเหนือ ที่มักเจอกับน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในหลายพื้นที่อย่างรุนแรง สาเหตุหลักมีทั้งปัจจัยจากมนุษย์และธรรมชาติ
1. ป่าไม้ถูกทำลาย-เขาหัวโล้นขยายตัวต่อเนื่อง
ภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุดของประเทศ โดยในปี 2567 มีสัดส่วนพื้นที่ป่าถึง 63.24% หรือประมาณ 37.9 ล้านไร่ อย่างไรก็ตาม กลับเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการทำลายป่าสูงที่สุดเช่นกัน โดยพื้นที่ป่าลดลงกว่า 171,143 ไร่ จากปี 2565 และลดลงอีก เกือบ 30,000 ไร่ ในปี 2566
หนึ่งในปัญหาสำคัญคือการเปลี่ยนพื้นที่ป่าธรรมชาติเป็นเขาหัวโล้นหรือพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยว โดยเฉพาะการปลูก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีพื้นที่ปลูกมากกว่า 8 ล้านไร่ ทำให้ขาดต้นไม้ขนาดใหญ่ในการดูดซับน้ำฝนและชะลอการไหลบ่าของน้ำฝนจากภูเขา ผลที่ตามมาคือ น้ำปริมาณมากจะไหลลงสู่ที่ราบในเวลาอันรวดเร็ว โดยไม่มีสิ่งใดชะลอหรือตรึงดินไว้ ทำให้เกิดทั้ง น้ำท่วมฉับพลัน และ ดินโคลนถล่ม
จังหวัดน่านถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด โดยมีพื้นที่เขาหัวโล้นมากถึง 1.8 ล้านไร่ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเกิดอุทกภัยบ่อยครั้งในช่วงฤดูฝน
2. ฝนตกหนักผิดปกติ จากร่องมรสุมและภาวะโลกร้อน
อีกหนึ่งสาเหตุหลักของน้ำท่วมครั้งนี้คือ ฝนตกหนักต่อเนื่อง มากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ โดยมีปัจจัยร่วมหลายประการ ได้แก่:
•ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และ สปป.ลาว ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักตลอดแนวร่อง
•ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากอ่าวไทยและทะเลอันดามัน พัดความชื้นจากทะเลเข้าสู่แผ่นดิน เมื่อปะทะกับร่องมรสุม ทำให้เกิดฝนตกหนักซ้ำซาก
•ปรากฏการณ์ โลกร้อน ทำให้ปริมาณไอน้ำในบรรยากาศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เมื่อเกิดฝนตกแต่ละครั้ง ปริมาณฝนเพิ่มขึ้นถึง 5% จากเดิม และมีแนวโน้มตกต่อเนื่องนานหลายชั่วโมงหรือเป็นวัน
ผลกระทบคือระดับน้ำในแม่น้ำและลำคลองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกินกำลังการระบายน้ำของพื้นที่รองรับ โดยเฉพาะหากฝนตกซ้ำหลายรอบโดยไม่มีช่วงพักฟื้น
3. ภาวะลานีญา
ปรากฏการณ์ช่วงปลายของภาวะลานีญาของปีนี้ ทำให้เกิดฝนตกหนักมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ภาคเหนือมีปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ
4. เมืองขยายตัว ระบบระบายน้ำไม่มีประสิทธิภาพ
อีกหนึ่งปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ไม่ควรมองข้ามคือ การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเขตชุมชนราบลุ่มที่เคยเป็น แหล่งรองรับน้ำตามธรรมชาติ เช่น บึง หนอง หรือพื้นที่ชุ่มน้ำ ถูกถมเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย ถนน และโครงการก่อสร้างต่าง ๆ
ผลที่ตามมาคือ เมื่อฝนตกหนัก น้ำที่ไหลจากภูเขาหรือป่ารอบเมืองจึง ระบายไม่ทัน ไหลเข้าท่วมบ้านเรือน ถนน และสิ่งก่อสร้าง ขณะเดียวกัน ลำน้ำสายหลักและสาขาหลายแห่งก็ ตื้นเขินจากตะกอนและการบุกรุกพื้นที่ลำน้ำ ทำให้ยิ่งระบายน้ำไม่ได้ ลักษณะของน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคเหนือจึงมักเห็นเป็น น้ำแดงขุ่น พัดพาดินโคลนและตะกอนจากเขาลงมาท่วมพื้นที่ราบอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
น้ำท่วมหนักในภาคเหนือปีนี้ไม่ใช่แค่ “ฝนตกเยอะ” อย่างเดียว แต่เกิดจากหลายปัจจัยทั้งสิ่งแวดล้อม ภูมิอากาศ และมนุษย์ การแก้ปัญหาในระยะยาวต้อง ฟื้นฟูป่า พัฒนาระบบจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และวางผังเมืองอย่างรอบคอบ เพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้นในยุคโลกร้อน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ปภ. เตือน 24 จังหวัด "เหนือ-อีสาน-กลาง-ใต้" ระวังน้ำท่วม-ดินถล่ม 15-17 ส.ค.
- ฝรั่งเศสร้อนระอุ! นกตกจากรัง-สัตว์ทยอยล้มป่วย ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์รับมือไม่ไหว
- คริสต์มาสอาจไร้ “เรนเดียร์” เสี่ยงสูญพันธุ์ 80% เหตุโลกร้อน
- สทนช.เตือน 24 จังหวัด 15-17 ส.ค. ระวังน้ำท่วม-น้ำป่าหลาก
- กลางส.ค. ฝนชุกทั่วไทย เตือนฝั่งอันดามันคลื่นลมแรง