'วิกฤติขยะพลาสติกครั้งใหญ่' ไทยรีไซเคิลไม่ถึงเป้า-กฎหมายไร้ผลบังคับ
ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยและเลขาธิการองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในฐานะประธานเครือข่าย PPP Plastics และ นายกสมาคมความร่วมมือภาครัฐ ภาคธุรกิจภาคประชาสังคม เพื่อจัดการพลาสติกและขยะอย่างยั่งยืน (PPP Plastics) กล่าวในงาน การประชุมสัมมนาขับเคลื่อนเครือชาย PPP Plastics ว่า ปริมาณขยะทั้งหมดในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 27 ล้านตันต่อปี ในจำนวนนี้เป็นขยะพลาสติกประมาณ 2 ล้านกว่าตันต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 13-14% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว แม้รัฐบาลจะมีเป้าหมายระยะยาวที่จะเพิ่มอัตราการนำพลาสติกกลับมารีไซเคิลได้จริงที่ 25% แต่ความจริงคือปัจจุบันทำได้เพียงประมาณ 21-22% เท่านั้น ซึ่งยังไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้มาหลายปี
สถานการณ์ปัจจุบัน ขยะพลาสติกล้นเมือง แต่การจัดการยังล่าช้า
ยิ่งไปกว่านั้น วิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงนั้น ผู้คนหันมาสั่งอาหารออนไลน์มากขึ้น ทำให้ปริมาณขยะพลาสติกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สวนทางกับอัตราการรีไซเคิลที่กลับลดลงเหลือเพียง 19% เนื่องจากความกังวลเรื่องสุขอนามัย ทำให้มีการทิ้งสิ่งของต่าง ๆ มากกว่าการนำไปรีไซเคิล
ภัยเงียบจากไมโครพลาสติก ปนเปื้อนในอาหารและคุกคามสุขภาพ
ปัญหาที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ ขยะพลาสติกที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในทะเล ซึ่งพลาสติกเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน แต่จะแตกตัวเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ไมโครพลาสติก และปนเปื้อนอยู่ในห่วงโซ่อาหารอย่างเงียบ ๆ มีการวิเคราะห์พบว่าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงน่านน้ำไทย มีปริมาณไมโครพลาสติกสูงมาก ตัวอย่างที่น่าตกใจคือ การวิเคราะห์ ปลาทูไทย 1 ตัว พบไมโครพลาสติกมากถึง 7-8 ชิ้น ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์แล้วจะไม่ออกไปไหนและอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
อุปสรรคด้านกฎหมาย แผนการไร้ผลบังคับ-กฎหมาย EPR ยังล่าช้า
อีกความท้าทายสำคัญคืออุปสรรคด้านกฎหมาย แม้ประเทศไทยจะมีแผนและ Roadmap ในการจัดการพลาสติก รวมถึงแผนปฏิบัติการที่ระบุว่าจะยกเลิกการใช้พลาสติกบางประเภท แต่แผนเหล่านี้ยังไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ควรจะเป็น เพราะยังไม่มี กฎหมายที่มีผลบังคับใช้ อย่างแท้จริงในการควบคุมหรือห้ามการใช้พลาสติกเหล่านั้น นอกจากนี้ ยังคงมีการเติมสารเคมี อ็อกโซ (Oxo) ในพลาสติก ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
กฎหมาย EPR (Extended Producer Responsibility) หรือกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ผลิตออกไปตลอดวงจรชีวิต กำลังเป็นความหวังสำคัญในการแก้ไขปัญหา แต่กระบวนการออกกฎหมายในประเทศไทยต้องใช้เวลา และกฎหมายเกี่ยวกับขยะพลาสติกยังไม่ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนอันดับแรก เมื่อเทียบกับกฎหมายว่าด้วยอากาศสะอาดและปัญหาโลกร้อน
นอกจากนี้ การเจรจาอนุสัญญาพลาสติกโลกระดับโลกยังไม่ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประเด็นเรื่องการลดการผลิตพลาสติกใหม่ (virgin plastic) และปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยเคยมี กฎหมายรีไซเคิล แต่ได้ตกไปแล้วและต้องเริ่มจัดทำใหม่ ทำให้เกิดสุญญากาศทางกฎหมายที่ต้องเร่งแก้ไข
ความหวังและก้าวต่อไป ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
อย่างไรก็ตาม แม้จะเผชิญกับความท้าทายมากมาย แต่ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ยังคงร่วมมือกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง มีการทำ โครงการนำร่อง ในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ระยอง และกรุงเทพฯ เพื่อทดลองระบบการจัดการขยะพลาสติกให้ครบวงจร เสมือนว่ามีกฎหมาย EPR บังคับใช้ เพื่อสร้างต้นแบบและเก็บข้อมูลสำหรับการผลักดันนโยบายในอนาคต
ความร่วมมือจากผู้ประกอบการก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทิศทางการแก้ไขปัญหานี้ดูดีขึ้น เพราะมีการให้ความสำคัญและร่วมลงทุนในโครงการทดลองต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทุกฝ่ายตระหนักถึงปัญหาอย่างแท้จริง
แม้พลาสติกจะมีข้อดีมากมาย ทั้งราคาถูก น้ำหนักเบา และช่วยถนอมอาหาร ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะเลิกใช้โดยสิ้นเชิง แต่ความท้าทายที่แท้จริงคือการหาวิธีใช้พลาสติกอย่างชาญฉลาดและจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้จบลงด้วยการเป็นขยะที่ทำลายสิ่งแวดล้อมและชีวิตของพวกเราในที่สุด