'แบงก์ชาติเอเชีย' แห่ลดดอกเบี้ยรับภาษีทรัมป์ คาด 'ไทย' อาจลดได้อีก 0.5%
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานวันนี้ (22 ส.ค.) ว่า บรรดาธนาคารกลางในเอเชียเริ่มปรับ "ลดอัตราดอกเบี้ย" ลงแบบเชิงรุกมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และอาจมีธนาคารกลางอื่นๆ เข้าร่วมแนวทางนี้ด้วยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อรับมือกับผลกระทบจาก มาตรการภาษี ของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ
ในสัปดาห์นี้ "อินโดนีเซีย" และ "นิวซีแลนด์" ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแบบเหนือความคาดหมาย ซึ่งตอกย้ำว่าธนาคารกลางของประเทศเหล่านี้กำลังเสริมปราการแนวรับป้องกันตนเองจากพิษสงครามการค้าของสหรัฐ ขณะที่ความสนใจกำลังมุ่งไปที่ "เกาหลีใต้" และ "ฟิลิปปินส์" ต่อในสัปดาห์หน้า เพื่อจับตาดูสัญญาณต่อเนื่องของการผ่อนปรนทางการเงินในเอเชีย
แม้ว่าโดยปกติแล้ว การลดดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินในประเทศตามมาเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ แต่แนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีขึ้นระหว่างการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐ (FOMC) ในปลายเดือนก.ย. ได้ช่วยบรรเทาความกังวลลงได้บ้าง
โฟกัสของทั่วโลกกำลังจับตาไปที่"เจอโรม พาวเวลล์" ประธานเฟด ซึ่งจะกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมที่แจ๊กสัน โฮล สหรัฐ ในคืนวันศุกร์นี้ประมาณ 3 ทุ่มตามเวลาในไทย ว่าจะมีการส่งสัญญาณผ่อนปรนทางการเงินใดๆ ออกมาหรือไม่ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอยู่แล้วทำให้สกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในปีนี้
"แนวทางที่ชัดเจนคือการผ่อนคลายนโยบายการเงิน" นาธาน ชีตส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Citigroup ระบุในบันทึกสัปดาห์นี้ พร้อมเสริมว่าผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐจะกดดันทั้งเรื่องค่าจ้างและราคา
'มอร์แกน สแตนลีย์' คาดเอเชียเกิดระลอกคลื่นลดดอกเบี้ย
ทั้งนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจทั่วเอเชียคาดว่าจะชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 นี้ หลังจากที่สหรัฐบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) และภาษีรายเซกเตอร์ ในขณะที่แรงหนุนจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าเพื่อตุนสินค้าไว้ก่อนก็เริ่มจางหายลงแล้ว
นักเศรษฐศาสตร์ของ Morgan Stanley ซึ่งเคยประเมินว่าอัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐจัดเก็บกับเอเชียจะพุ่งขึ้นเป็น 25% จากเพียง 5% เมื่อต้นปีนี้ คาดว่าจะเกิด "ระลอกคลื่นของการปรับลดอัตราดอกเบี้ย" โดย "ฟิลิปปินส์" อาจลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 1.25% ภายในปี 2569 ส่วน "เกาหลีใต้ ไทย ออสเตรเลีย มาเลเซีย และไต้หวัน" คาดว่าจะลดอีกประเทศละ 0.50%
ในสัปดาห์นี้ ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) เน้นย้ำว่าอุปสงค์ที่อ่อนแรงลงจะส่งผลกระทบต่อค่าจ้างและกดดันราคา และส่งสัญญาณอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ในตอนแรก ส่วนการลดดอกเบี้ยแบบเซอร์ไพรส์ตลาดของธนาคารกลางอินโดนีเซียก็ทำให้ธนาคาร Goldman Sachs และ ANZ คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยระดับสูงสุด (terminal rate) สำหรับรอบวัฎจักรการลดดอกเบี้ยในปัจจุบันจะลดลง ในขณะที่ Citigroup ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป
การเปลี่ยนแปลงมุมมองความคาดหวังนี้ยังถูกสะท้อนผ่านตลาดการเงิน โดยสัญญาสวอประยะ 3 เดือนใน "ประเทศไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์" ต่างปรับตัวลดลงในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึง "แนวโน้มดอกเบี้ยขาลง" ที่เพิ่มขึ้น
ในฟิลิปปินส์ ตลาดสวอปส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเกือบ 40 จุดพื้นฐานในอีก 6 เดือนข้างหน้า เทียบกับสัญญาณในตลาดเดือนมิ.ย. ว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพียง 10 จุดพื้นฐานในเดือนมิถุนายน ส่วนนิวซีแลนด์คาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลง 0.43% ในช่วงเวลาดังกล่าว เทียบกับ 33 จุดพื้นฐานในเดือนมิถุนายน
ส่วนในฟิลิปปินส์ ตลาดสวอปส่งสัญญาณล่าสุดบ่งชี้ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเกือบ 0.4% ในอีก 6 เดือนข้างหน้า เมื่อเทียบกับสัญญาณเดือนมิ.ย. ซึ่งอยู่ที่เพียง 0.1% ส่วนในนิวซีแลนด์คาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลง 0.43% ในช่วงเวลาดังกล่าว เทียบกับสัญญาณเดิมที่ 0.33%
เศรษฐกิจเอเชียแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นอย่างน่าประหลาดใจในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เนื่องจากการเจรจาการค้ายังคงสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง และการเร่งส่งออกก่อนภาษีศุลกากรจะเริ่มมีผลช่วยพยุงการส่งออกครึ่งปีแรก
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของจริงกำลังคืบคลานเข้ามาด้วยอัตราภาษีหลังการเจรจากับสหรัฐที่สูงขึ้น ซึ่งตามรายงานของธนาคาร OCBC ในสิงคโปร์ เตือนว่า "ไทยและเวียดนาม" น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
"ในแง่ของการตอบสนองเชิงนโยบาย เราคาดว่าธนาคารกลางจะยังคงดำเนินการอย่างหนักผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่การสนับสนุนทางการคลังจะยังคงเป็นแบบมุ่งเป้ามากขึ้น" ทีมนักเศรษฐศาสตร์ของ OCBC ระบุในบันทึกประจำสัปดาห์นี้ "โชคดีจากการเร่งตุนการค้าก่อนหน้านี้น่าจะสิ้นสุดลง และส่งผลกระทบต่อการเติบโตของการส่งออกต่อมา"