อ่านเกมการตลาดคอลแลบส์ K Pop-คาแรคเตอร์ลิขสิทธิ์ ช่วย Moshi Moshi ชนะในตลาดค้าปลีกไลฟ์สไตล์
เจาะลึกเกมการตลาดที่ทำให้ Moshi Moshi ชนะอย่างเหนือชั้นในสมรภูมิค้าปลีกไลฟ์สไตล์ 7,000 ล้านบาท ด้วยส่วนแบ่งตลาด 40% ไม่ใช่แค่สงครามราคาและการขยายสาขา แต่ใช้กลยุทธ์ "คอลแลบ" กับศิลปิน K-Pop และคาแรกเตอร์ลิขสิทธิ์ สร้างมูลค่าทางใจให้สินค้าธรรมดากลายเป็นไอเทมที่แฟนคลับต้องมี
ตลาดค้าปลีกไลฟ์สไตล์ในประเทศไทยเป็นตลาดใหญ่ที่มีความน่าสนใจ มีการคาดการณ์ว่าในปี 2568–2569 มูลค่าตลาดอยู่ราวๆ 7,000–9,000 ล้านบาท ส่งผลให้มีการแข่งขันสูงมากตามไปด้วยจากผู้เล่นทั้งในและต่างประเทศหลายกลุ่มหลัก:
ผู้เล่นไทย: Moshi Moshi เป็นผู้นำตลาดที่โดดเด่น ด้วยความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างดี และมีจุดแข็งด้านการขยายสาขาและการบริหารจัดการสินค้าที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ไทยอื่นๆ เช่น Mini Mono และ Kuma Store ซึ่งเน้นสินค้าที่เข้าถึงง่ายและราคาประหยัด
ผู้เล่นจีน: แบรนด์จากจีนเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาด เช่น MINISO และ KKV ซึ่งมีจุดเด่นด้านดีไซน์และเทรนด์ที่ทันสมัย และได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ที่แข็งแกร่ง
ผู้เล่นญี่ปุ่น: แบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง MUJI เน้นการนำเสนอสินค้าที่มีดีไซน์เรียบง่าย คุณภาพดี และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่มีราคาสูงกว่าคู่แข่งรายอื่น
ผู้เล่นจากประเทศอื่นๆ: เช่น OH! SOME จากสิงคโปร์ ก็เข้ามาสร้างสีสันให้กับตลาด
การแข่งขันในตลาดนี้มีหลายมิติ:
การขยายสาขา: ทุกแบรนด์ต่างเร่งขยายสาขาเพื่อสร้างการเข้าถึงลูกค้าให้ครอบคลุมที่สุด โดยเฉพาะในทำเลยุทธศาสตร์อย่างห้างสรรพสินค้าและแหล่งชุมชน
การสร้างความแตกต่างของสินค้า: ผู้เล่นในตลาดพยายามสร้างจุดเด่นของตัวเองผ่านกลยุทธ์ต่างๆ เช่น การร่วมมือกับคนดังและคาแรกเตอร์ลิขสิทธิ์อย่างที่ Moshi Moshi ทำ, การนำเข้าสินค้าใหม่ๆ ตามเทรนด์ หรือการพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม
สงครามราคา: เนื่องจากสินค้ามีความคล้ายคลึงกัน การแข่งขันด้านราคายังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจ
การปรับตัวสู่ช่องทางออนไลน์: ทุกแบรนด์ต่างหันมาให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์มากขึ้น เพื่อตอบสนองพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
คอลแลบส์คนดัง–คาแรกเตอร์ลิขสิทธิ์ กลยุทธ์การตลาดที่ทำให้ Moshi Moshi ชนะ
ปัจจุบัน Moshi Moshi เป็นผู้นำตลาดที่ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 40% ด้วยกลยุทธ์ที่รอบด้าน ทั้งการขยายสาขา การบริหารต้นทุน โดยเฉพาะคีย์สำคัญอย่างการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าผ่านการคอลแลบกับคนดังและคาแรกเตอร์ลิขสิทธิ์ที่ใช้เป็นเครื่องมือหลักในการคว้าชัยในตลาดค้าปลีกไลฟ์สไตล์ที่มีการแข่งขันสูง
ด้วยการเปลี่ยนจากแบรนด์สินค้าทั่วไปให้กลายเป็นแบรนด์ที่สร้าง "มูลค่าทางอารมณ์" (Emotional Value) และความรู้สึกร่วมกับผู้บริโภค ซึ่งช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้เหนือกว่าคู่แข่งที่เน้นเพียงแค่ราคา โดย:
1. สร้างความตื่นเต้นและกระตุ้นยอดขาย (Buzz & Sales Driver)
Moshi Moshi เข้าใจว่าผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้ซื้อสินค้าเพียงเพราะประโยชน์ใช้สอย แต่ซื้อเพราะความรู้สึกและ "คุณค่าทางใจ" ที่ได้รับจากการเป็นเจ้าของสินค้าชิ้นนั้นๆ การคอลแลบกับศิลปิน K-Pop ยอดนิยม เช่น RIIZE, NCT Dream หรือ aespa และคาแรกเตอร์ดังๆ อย่าง Sanrio, Disney ทำให้ Moshi Moshi สามารถ:
สร้างกระแสและดึงดูดความสนใจ: ทำให้เกิดกระแสในโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว เนื่องจากฐานแฟนคลับที่กว้างขวางของศิลปินเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงและแรงผลักดันให้เกิดการซื้อสินค้า
สร้างความผูกพันทางอารมณ์: แฟนคลับจะรู้สึกเหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของศิลปินที่พวกเขารักผ่านการเป็นเจ้าของสินค้า ทำให้เกิดความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) และพร้อมที่จะสนับสนุนสินค้าอย่างต่อเนื่อง
2. ขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ (Market Expansion)
เดิมที Moshi Moshi มีฐานลูกค้าหลักคือกลุ่มนักเรียน, นักศึกษา, และวัยทำงานตอนต้น แต่การคอลแลบกับคนดังและคาแรกเตอร์ลิขสิทธิ์ช่วยขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มแฟนคลับ K-Pop ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและพร้อมที่จะใช้จ่ายเพื่อสิ่งที่รัก และทำให้แบรนด์สามารถเจาะกลุ่มแฟนคลับชาวไทยและชาวต่างชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์ (Brand Positioning)
การคอลแลบกับแบรนด์หรือศิลปินที่มีชื่อเสียง ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของ Moshi Moshi จากร้านค้าสินค้าทั่วไปให้กลายเป็นแบรนด์ที่ทันสมัยและเข้าใจเทรนด์
ทำให้ลูกค้ามองว่าสินค้าของ Moshi Moshi ไม่ใช่แค่ของราคาถูก แต่เป็นสินค้าที่มีดีไซน์น่ารัก มีคุณภาพ และมีคุณค่าทางใจ
การนำเสนอสินค้าในคอนเซ็ปต์ "ดีไซน์สวย คุณภาพดี เข้าถึงง่าย" บวกกับเอกลักษณ์ของศิลปินหรือคาแรกเตอร์ ทำให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นในสายตาผู้บริโภค
4. เพิ่มยอดขายในช่องทางออนไลน์ (Online Sales Boost)
การเปิดตัวคอลเลกชันพิเศษมักจะมาพร้อมกับการวางจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Shopee ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นยอดขายในตลาดอีคอมเมิร์ซ นอกจากนี้ยังช่วยให้ Moshi Moshi เข้าถึงลูกค้าที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่มีสาขาอีกด้วย
ยอดขาย–กำไรโตก้าวกระโดดยกแผง
กลยุทธ์การคอลแลบส่งผลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการของ Moshi Moshi ซึ่งสะท้อนผ่านตัวเลขทางการเงินที่น่าสนใจ:
ยอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดด: ในปี 2567 Moshi Moshi มีรายได้รวม 3,111.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปี 2566
ยอดขายจากสาขาเดิมพุ่งสูงขึ้น: ในไตรมาส 4 ปี 2567 ยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) เติบโตถึง 20% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปิดตัวสินค้าลิขสิทธิ์ร่วมกับศิลปิน
และจากรายงานทางการเงินล่าสุดของบริษัท สะท้อนให้เห็นถึงผลลัพธ์โดยรวมของกลยุทธ์นี้ ดังนี้:
รายได้รวมเติบโต: ในไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 838.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น: กำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 156.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2567
อัตรากำไรสุทธิที่สูงขึ้น: อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในไตรมาส 1 ปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 18.5% ซึ่งเป็นผลจากการบริหารต้นทุนที่ดีและการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าผ่านกลยุทธ์ต่างๆ รวมถึงการคอลแลบด้วย
การคอลแลบกับคนดังและคาแรกเตอร์ของ Moshi Moshi จึงเป็นมากกว่าการทำโปรโมชั่น แต่เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สำคัญซึ่งช่วยให้ Moshi Moshi สามารถเพิ่มยอดขาย ขยายฐานลูกค้า และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดค้าปลีกไลฟ์สไตล์ได้
นางสาวบุณยวีร์ บุญสงเคราะห์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์ธุรกิจและปฏิบัติการ บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ MOSHI สะท้อนความสำคัญของกลยุทธ์การสร้างการเติบโตจากฐานแฟนศิลปินอย่างน่าสนใจ
“เราเห็นอิทธิพลของศิลปินที่มีต่อผู้บริโภคมาโดยตลอด โดยเฉพาะในกลุ่มแฟนคลับที่พร้อมจะสนับสนุนผลงานของศิลปินที่พวกเขารัก อีกทั้งศิลปินยังเป็นแรงบันดาลใจและเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มความสุข ทำให้การออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับศิลปินที่ชื่นชอบกลายเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความสุขและสร้างช่วงเวลาดีๆ ได้ง่ายๆ
ครึ่งปีหลังร่วมมือกับ SM ENTERTAINMENT และ SM True ต่อเนื่อง ในการ Collaboration Project ล่าสุด ได้ร่วมมือกับ RIIZE (ไรซ์) หรือที่แฟนๆ ชาวไทยรู้จักในชื่อ ‘น้องข้าว’ บอยกรุ๊ปดาวรุ่งระดับโลกจากค่าย SM ENTERTAINMENT
โดยนำเอกลักษณ์ของวง RIIZE มาผสมผสานกับดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ MOSHI ซึ่งยังคงราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้แฟนคลับทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้อย่างเต็มที่ โดยวางเป้าหมายขยายฐานลูกค้าทั้งวัยเรียน วัยทำงาน และกลุ่มแฟนคลับ BRIIZE (บรีซ) ชาวไทยและต่างประเทศ ทั้งนี้ คาดว่าคอลเลกชันนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายและส่งเสริมการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 ได้เป็นอย่างดี”