แก๊งคอลเซ็นเตอร์สายโทรเข้าจากต่างประเทศกลับมาระบาด
นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้มีความจำเป็นในการต้องปล่อยสัญญาณมือถือให้ครอบคลุมในพื้นที่ดังกล่าวมากขึ้นเพื่อภารกิจด้านการทหาร จากเดิมที่ถูกระงับ จำกัดการใช้สัญญาณอย่างเข้มงวด ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์แถบชายแดนกัมพูชาเริ่มกลับมาอาละวาดอีกครั้ง จึงขอให้ค่ายมือถือเข้มงวดสกัดเลขหมายโทรศัพท์ผิดปกติที่เป็นสายมาจากต่างประเทศ โดยต้องจัดทำระบบสกัดการรับสายเข้า และขึ้นเลขหมาย +697 (โทรทางไกลจากอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นการโทรจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์) และ +698 (โทรทางไกลจากเบอร์มือถือที่จดทะเบียนในประเทศไทย) เพื่อให้ประชาชนรับทราบและพิจารณาได้อย่างถูกต้อง
นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2568 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำหรับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค. 2568 โดยมีสาระสำคัญ 8 มาตรการ เพื่อคุ้มครองผู้ใช้บริการโทรคมนาคม และป้องกันยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็ว
นายไตรรัตน์ กล่าวว่า ภายใต้กฎหมายดังกล่าว 1. ผู้ให้บริการมือถือ ต้องตรวจสอบคัดกรองลูกค้าที่มีลักษณะที่ผิดปกติ เพื่อระงับการใช้บริการทันที โดยพิจารณาจากจำนวนครั้งที่โทรออก พื้นที่การโทร ข้อมูลลูกค้า และอุปกรณ์ที่ใช้ในการโทรออก โดยสำนักงานกสทช. จะร่วมกับค่ายมือถือพิจารณากำหนดเงื่อนไขการคัดกรอง
2. ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ต้องระงับบริการโทรคมนาคมตั้งแต่วันที่ได้รับคำสั่งจากสำนักงาน กสทช. กรณีเชื่อว่ามีการใช้บริการเพื่อกระทำอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยค่ายมือถือต้องระงับบริการทันทีหรือภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนผู้รับอนุญาตบริการโทรคมนาคมอื่น เช่น อินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ ให้ระงับบริการทันที หรือภายใน 3 วัน
3. ผู้ให้บริการมือถือมีหน้าที่จัดการลงทะเบียนผู้ใช้บริการ ได้แก่ กรณีลูกค้าใหม่ให้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลลูกค้าให้เสร็จภายใน 7 วันนับตั้งแต่วันที่มีการลงทะเบียน, กรณีลงทะเบียนก่อน วันที่ 1 ม.ค. 2567 ให้ตรวจสอบให้เสร็จภายใน 90 วัน และกรณีลงทะเบียนก่อนปี พ.ศ.2567 ให้ตรวจสอบให้เสร็จภายใน 1 ปี นับจากวันที่ประกาศมีผลบังคับใช้
4. ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมที่ให้บริการส่งข้อความสั้นแบบแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ไปยังผู้ใช้งานมือถือในรูปแบบ Application-to-Person (A2P) หรือการส่งข้อความอัตโนมัติถึงลูกค้า มีหน้าที่ห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนชื่อผู้ส่งข้อความสั้น หรือ Sender Name ส่งข้อความสั้นถึงลูกค้า และต้องตรวจสอบความถูกต้องของลิงก์ที่ใช้แนบส่งข้อความสั้นทุกครั้ง 5. ผู้ให้บริการมือถือมีหน้าที่จำกัดการลงทะเบียนเลขหมายโทรศัพท์มือถือของบุคคลต่างชาติไม่เกิน 3 เลขหมาย/คน/ค่าย และให้ใช้พาสปอร์ตยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนใช้เท่านั้น
6. ผู้ให้บริการมือถือต้องจำกัดเวลาการใช้งานสำหรับนักท่องเที่ยว (Tourist SIM) ไม่เกิน 60 วัน ห้ามเติมเงินใช้ต่อ หากจะใช้ต่อต้องลงทะเบียนยืนยันตัวตนอีกครั้ง 7. ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือต้องห้ามไม่ให้เครื่องวิทยุคมนาคมลูกข่ายในโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทซิมบ๊อกซ์ (Sim box) หรือประเภทเกตเวย์ (Gateway) ที่รองรับจำนวนซิมตั้งแต่ 4 ซิมขึ้นไปเชื่อมต่อโครงข่ายของตน เว้นแต่เครื่องวิทยุคมนาคมดังกล่าวจะผ่านการลงทะเบียนกับสำนักงาน กสทช.
8. ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ มีหน้าที่เติมเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์แจ้งเตือนผู้ใช้บริการ ให้ทราบว่ามีเลขหมายโทรศัพท์ที่มาจากต่างประเทศ เช่น การเติม +697 (โทรทางไกลจากอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นการโทรจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์) และ +698 (โทรทางไกลจากเบอร์มือถือที่จดทะเบียนในประเทศไทย) และมีหน้าที่จัดให้มีระบบปฏิเสธการรับสายจากต่างประเทศ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : แก๊งคอลเซ็นเตอร์สายโทรเข้าจากต่างประเทศกลับมาระบาด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ยกฟ้อง 4 กสทช. คดี “157” กรณีสั่งสอบ ซื้อลิขสิทธิ์บอลโลก เด้ง ”รักษาการเลขาฯ”
- "ลุงโทนี่" ถูก กสทช. บุกค้นจับ ว.เถื่อน 10 เครื่อง คาร้านอาหาร
- แก๊งคอลเซ็นเตอร์สายโทรเข้าจากต่างประเทศกลับมาระบาด
- “พชร” ย้ำ กสทช. พร้อมปกป้องโครงข่ายสื่อสารและการโจมตีทางไซเบอร์
- วุฒิสภาเดือด สว.น้ำเงิน ไล่ตะเพิด “นันทนา” ฉุนโดนแซะกระเหี้ยนกระหือรือลงมติ
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath