รัฐบาลรับทราบรายงานแอมเนสตี้ เผยความโหดร้ายศูนย์สแกมเมอร์กัมพูชา ย้ำจุดยืนปกป้องความมั่นคงและสิทธิมนุษยชน
วันนี้ (27 มิถุนายน) จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้อ่านรายงานฉบับล่าสุดขององค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ที่เผยแพร่ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ที่ระบุถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนในศูนย์คอลเซ็นเตอร์ผิดกฎหมายในประเทศกัมพูชา โดยมีลักษณะเป็นการบังคับใช้แรงงานในรูปแบบของการค้ามนุษย์ การเป็นทาสยุคใหม่ การใช้แรงงานเด็ก และการทรมานที่มีการทำอย่างเป็นระบบ ภายใต้การเพิกเฉยของรัฐบาลกัมพูชา
ในรายงานของ Amnesty International ระบุว่า มีศูนย์คอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ อย่างน้อย 53 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ กัมพูชา โดยศูนย์เหล่านี้จะดัดแปลงจากโรงแรมหรือคาสิโนเก่า ที่เริ่มไม่มีผู้เข้าไปใช้บริการ และรายงานของแอมนาสตี้ ระบุว่าผู้หลบหนีออกจากศูนย์เหล่านี้ เป็นคนจีน ไทย มาเลเซีย บังกลาเทศ เวียดนาม อินโดนีเซีย ไต้หวัน และเอธิโอเปีย และอีกหลากหลายประเทศ โดยเหยื่อตอบกับแอมนาสตี้ตรงกันว่า ถูกหลอกมาทำงานผ่านโฆษณางานบนแพลตฟอร์มทางโซเชียลมีเดีย เมื่อเข้าไปทำงานก็จะถูกยึดพาสปอร์ต โดนกักขัง ทำร้ายร่างกาย หากไม่ทำงานในการหลอกลวงออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ
ในรายงานยังระบุว่า ในการตรวจสอบเพิ่มเติมจากบันทึกของเหยื่อ พบว่าขบวนการเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และมีระบบอุปถัมภ์จากเจ้าหน้าที่ในกัมพูชา โดยระบุชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชาบางคนมีส่วนเกี่ยวข้องให้เกิดการละเมิดสิทธิในลักษณะนี้
จิรายุกล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยมีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเด็ดขาดมาตั้งแต่ปลายปี ทั้งทางฝั่งตะวันตกใกล้กับประเทศเมียนมา ซึ่งมีมาตรการในการตัดน้ำ ตัดไฟฟ้า ตัดเน็ต และเข้มงวด เรื่องการผ่านแดน ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีผู้ที่ไปทำงานคอลเซ็นเตอร์หลายหมื่นคนถูกผลักดันให้เดินทางกลับ
แต่ละประเทศได้จัดส่งเครื่องบินมารับที่สนามบินแม่สอดจังหวัดตากของประเทศไทย กลับไปดำเนินการต่อ ขณะที่ ฝั่งตะวันออก นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ชายแดนอำเภออรัญประเทศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมาในการติดตาม ตรวจสอบการจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ทั้งนี้ ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้รายงานอย่างชัดเจนถึงสถิติที่ลดลงในพื้นที่ฝั่งตะวันตก แต่ฝั่งตะวันออกกลับหนักข้อมากขึ้นจากสถิติของการรับแจ้งอาชญากรรมลดลงอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรียังให้ความสำคัญในการติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยได้เรียกประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่รัฐบาลประกาศยกระดับการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยไทยอาสาเป็นเจ้าภาพในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในการหาความร่วมมือกับนานาประเทศ โดยเฉพาะอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
นายกรัฐมนตรียังได้มีข้อสั่งการด้านความมั่นคง เพิ่มความเข้มงวดในการเข้า-ออกตามจุดผ่านแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกและชายแดนกัมพูชา เพื่อระวังและปราบปรามขบวนการลักลอบพาคนไปทำงานผิดกฎหมายในต่างประเทศด้วย
“รัฐบาลไทยถือว่าศูนย์สแกมเมอร์ หรือธุรกิจการค้ามนุษย์ในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลโดยการนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้เร่งป้องกันวิกฤติการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และจะทำงานร่วมกับมิตรประเทศ รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อตัดตอนเครือข่ายการค้ามนุษย์ สร้างกลไกความร่วมมือในการยุติกระบวนการอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ ที่ใช้เทคโนโลยีและช่องโหว่ทางกฎหมาย แสวงหาประโยชน์จากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน” จิรายุกล่าวย้ำ