โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

‘บุรินทร์'เตือนไทยต้อง 'ปรับโครงสร้าง'รับศึกโลก เยียวยาอาจไม่ช่วย ถ้าแข่งขันไม่ได้

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวในงาน เสวนาโต๊ะกรม "Roundtable: The Art of (Re)Deal” ว่า ในมุมของนโยบายภาษี “ทรัมป์” มองว่าสิ่งสำคัญที่ประเทศไทยต้องมองมากขึ้นคือ ภายใต้ America First ของสหรัฐอเมริกา คืออเมริกาต้องมาก่อน และภายใต้ความต้องการลดทอนบทบาทจากจีนของสหรัฐ ดังนั้นเชื่อว่าประเทศในเซาท์อีสเอเชียจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน และและอาจโดนหนัก

ภายใต้ความต้องการสร้างห่วงโซ่อุปทานละตินอเมริกาของสหรัฐ ที่โดนภาษีเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 10% สะท้อนว่าสหรัฐอาจไม่ได้สนใจที่จะให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐอีกต่อไป ในขณะที่ประเทศไทยกำลังมองเพียงแข่งขันกับเวียดนามที่มีภาษีสูงกว่าไทย 10% หรือมาเลเซีย 10%แต่ในภาพใหญ่สหรัฐอาจ “ไม่เอาเซาท์อีสเอเชียแล้ว”

ดังนั้นประเทศไทย ควรต้องใช้จังหวะเวลานี้ในการปรับโครงสร้างของประเทศ เพราะหากย้อนดูเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยมีปัญหาหลายประการ โดยเฉพาะในภาคส่วนหลักอย่างการท่องเที่ยวและการส่งออก ที่ยังน่ากังวล

ดังนั้นแม้จะมีมาตรการช่วยเหลือ เช่น ซอฟต์โลน (Soft loan) ก็อาจไม่สามารถช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการแข่งขันได้เสรี เพราะหากดูตัวอย่างในสหรัฐ ที่เคยให้ซอฟท์โลนแก่บริษัทโซลาร์ในรัฐแคลิฟอร์เนียประมาณ 500 กว่าล้านดอลลาร์ แต่บริษัทดังกล่าวก็ยังคงล้มละลายภายในเวลาไม่ถึง 5 ปี เหล่านี้สะท้อนว่าการเยียวยาที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการอยู่นั้นจะยั่งยืนหรือไม่หรือช่วยธุรกิจได้จริงหรือไม่

นอกจากนี้หลายธุรกิจไทย ยังมีขีดความสามารถในการแข่งขันลดน้อยลง ซึ่งนำไปสู่ความท้าทายมากขึ้น หากต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างแท้จริง ธุรกิจเหล่านี้อาจจะสู้ไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่เป็นคำถามคือ การช่วยเหลือจะต้องช่วยไปอีกนานแค่ไหน

แต่ขณะเดียวกัน มองว่าโมเดลการช่วยเหลือในต่างประเทศ หลายโมเดลที่ประสบความสำเร็จ อย่างในจีนที่มีการให้ซอฟต์โลน การสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) และความช่วยเหลือในรูปแบบอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการแข่งขันกันเองอย่างเข้มข้นจนจีนกลายมาเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรี่ และแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งส่งผลให้บริษัทจีนแข็งแกร่งขึ้นและกลายเป็นผู้นำของโลก

ดังนั้นมองว่า หากรัฐบาลไทยจะใช้ซอฟต์โลนในการช่วยเหลือและเยียวยา ควรเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่ยั่งยืน ซึ่งในที่สุดแล้วจะต้องสามารถแข่งขันได้ หรือมีการแข่งขันภายในประเทศด้วยตนเอง ไม่ควรให้ความช่วยเหลือไปเรื่อย ๆ เหมือนที่เคยทำกับภาคเกษตรของไทย

ซึ่งมองว่าเป็นการช่วยเหลือที่ไม่มีวันจบสิ้น เปรียบเสมือน “น้ำซึมบ่อทราย” ที่ทำให้เกษตรกรยังคงยากจน และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยยังไม่สามารถหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ได้

ไทยอยู่ในสถานะเปรียบเปรียบเวียดนาม

ในด้านภาษี “ทรัมป์” วันนี้หากเทียบกับเวียดนาม ไทยกำลังเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด หากนักลงทุนต่างชาติจะเลือกมาลงทุนในภูมิภาคนี้ และต้องเลือกระหว่างไทยกับประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนาม ซึ่งอาจโดนภาษี 20% ขณะที่ไทยโดน 36% มาเลเซีย 25% และสิงคโปร์ 10% เหล่านี้ทำให้ประเทศไทยอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม หากดูผลกระทบด้านการส่งออกอาจจะยังไม่ชัดเจนมากนักในปีนี้ เพราะมีการส่งออกล่วงหน้า ไปเกือบหมดแล้ว และคาดว่าครึ่งหลังของปีการส่งออกอาจจะติดลบ แต่ผลกระทบที่แท้จริงจะปรากฏในระยะกลางและระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ่านเม็ดเงินลงทุนที่นักลงทุนกำลังรออยู่ ทำให้นักลงทุนอาจเกิดความไม่มั่นใจ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การลงทุนและโครงการซื้อขนาดใหญ่ชะงักงันหลังจากนี้

สำหรับประเทศไทย ไม่เฉพาะผลกระทบภาษีทรัมป์เท่านั้น แต่ประเทศไทยยังไม่สามารถทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) ได้ ซึ่งทำให้ไทยยิ่งเสียเปรียบมากขึ้น

นอกจากนี้มองว่า ไม่เพียงแต่ประเด็นด้านภาษีทรัมป์ ที่ต้องน่ากังวล แต่ประเทศไทยยังมีประเด็นที่น่ากังวล เกี่ยวกับ ประเด็นที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff) ที่สหรัฐให้ความสนใจ ซึ่งหนึ่งด้านที่เป็นอุปสรรคสำหรับไทยคือ ไยถูกมองว่า พิธีการทางศุลกากรของไทยที่สหรัฐยุ่งยาก ซับซ้อน และอาจนำไปสู่การคอร์รัปชันได้ ดังนั้นครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ไทยจะสามารถปรับปรุงได้ ไม่ใช่เพื่อสหรัฐเท่านั้น แต่เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าลงทุนสำหรับทั้งนักลงทุนต่างชาติและในประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่น่ากังวลคือ ประเทศไทยเริ่มมีความสำคัญน้อยลงในเศรษฐกิจโลก ปัจจุบันขนาดเศรษฐกิจของไทยคิดเป็นประมาณ 1% ของโลก และการส่งออกก็อยู่ที่ 1% กว่า ๆเท่านั้น ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่สหรัฐไม่ได้มองว่าประเทศไทยมีความสำคัญมากนักในการเจรจา

“ด้วยเหตุนี้เราต้องทำให้ตัวเองสำคัญและต้องใช้ วิกฤตให้เป็นโอกาสเพื่อนำไปสู่การแก้ไขและปฏิรูปประเทศในหลายด้าน ทั้งปฏิรูปภาคเกษตร ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างจริงจังหรือปฏิรูปการศึกษา เพื่อผลิตแรงงานที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นนโยบายระยะยาว”

นอกจากนี้มองว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทย ต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาของประเทศไทย ทั้งภาคเกษตรกรรมและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ภาคเกษตรกรรมไม่ควรถูกละทิ้ง และควรหาวิธีช่วยเหลือเกษตรกรเพื่อไม่ให้วนอยู่ในวังวนเดิมๆ นอกจากนี้มองว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการเยียวยาคือการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

ควบคุ่กับการลดข้อจำกัดต่างๆของภาครัฐ ทั้งจากปัจจุบันที่ไทยมีแรงงานที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าที่อื่น เช่น เวียดนามที่มีการลดจำนวนบุคลากร ดังนั้นควรมีการ Digitalization ของภาครัฐ อย่างจริงจัง ควรทำให้ทุกอย่างเป็น One-stop service เพื่อลดระบบราชการที่ยุ่งยาก ลดการคอร์รัปชัน และลดการเอื้อประโยชน์ต่อพรรคพวก

รวมถึงการแก้ปัญหากิโยติน Guillotine อย่างจริงจัง ซึ่งหมายถึงการปฏิรูปและตัดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นออก

สิ่งที่สำคัญคือการส่งเสริมการแข่งขันและนวัตกรรม จำเป็นต้องมีการแข่งขันให้มากขึ้น เพราะหากไม่มีการแข่งขัน ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับใบอนุญาตหรือใบอนุญาตโดยไม่ต้องแข่งขันกับใคร ก็จะไม่มีนวัตกรรม

เพราะการขาดการแข่งขันเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งประเทศ เนื่องจากธุรกิจไทยหลายแห่งยังคงทำเรื่องซ้ำๆ กัน และมักจะรับจ้างผลิตหรือเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain เท่านั้น โดยไม่มีแบรนด์ของตัวเอง

อีกทั้งมองว่าปัจจุบัน ธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยอาจถูกปกป้องมากเกินไป ทำให้ไม่มีนวัตกรรมเกิดขึ้น

ดังนั้นรัฐบาลควรพิจารณาการสนับสนุนในรูปแบบ Venture Capital สำหรับผู้ที่มีแนวคิดที่ดี พร้อมกับการสนับสนุนด้านกฎระเบียบและด้านการเงิน เพื่อให้สามารถสร้างธุรกิจได้จริง

รวมไปถึง การเปิดการแข่งขันอย่างยั่งยืน เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันกับธุรกิจต่างชาติได้ ไม่ใช่เพียงเพราะรัฐบาลอุ้มไว้

สำหรับมุมมองค่าเงินบาท มองว่า สาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งค่าสวนทางกับพื้นฐานเศรษฐกิจเป็นเพราะ ขาดการลงทุน แม้ว่าจะมีเงินออมของประเทศจำนวนมาก แต่ไม่มีที่ให้ลงทุน ทุกคนเริ่มหมดไอเดีย

ดังนั้นหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ไปสักพัก ค่าเงินบาทก็จะอ่อนค่าลงได้ ปัจจัยที่อาจทำให้ค่าเงินอ่อนลงในครึ่งปีหลังคือการส่งออกที่แย่ลง

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของภาครัฐ (Credit Rating) ที่อาจได้รับผลกระทบจากเพดานหนี้สาธารณะที่ 70%

หากรัฐบาลไม่รีบจัดการปัญหาเหล่านี้ ธุรกิจต่างๆ อาจจะไม่รอดและไม่รอการแก้ไข และมากกว่าเยียวยาต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ อย่าเยียวยาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องแจกเงินแล้วทำให้แรงงานมีสกิลเพิ่มขึ้น เพราะที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่าบางโครงการแจกเงินไปไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ”

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

'อนุทิน' เมิน 'ทักษิณ' ทอล์ก ชี้รัฐบาลหมดความชอบธรรม นับถอยหลัง

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

EKH จบซื้อหุ้นคืน 342 ล้านบาท 55 ล้านหุ้น จากวงเงินไม่เกิน 400 ล้านบาท ตั้งแต่ 13ม.ค.-11ก.ค.

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

สรรพสามิตจ่อปรับ ‘เนต้า’ 2 เท่า ค่ายรถผลิตไม่ครบเงื่อนไข EV3.0 กว่า 1.9 หมื่นคัน

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

Infinite Workday การงานล้ำเส้นชีวิต เป็นมือที่ 3 เพิ่มการหย่าร้าง

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความหุ้น การลงทุนอื่น ๆ

Treasurist Fund Traffic Control (แนวโน้มลงทุนรอบโลก & กองทุนน่าสนใจ) ช่วยให้คุณวางแผนการลงทุนประจำสัปดาห์ที่ 14 - 18 ก.ค. 68

เทรเชอริสต์

Night Recap Gold Futures 14-07-2568

ฮั่วเซ่งเฮง

อู่ซ่อมพอร์ต EP.66 | เงินต้นทาง 2.3 ล้าน มีทั้งหุ้นและกองทุนรวม จัดพอร์ตไม่สมดุล ขาดของที่ควรมี

เทรเชอริสต์

3 อันดับกลุ่มกองทุนที่ดัชนีเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นสูงสุด และ ลดลงมากที่สุด ใน 1 สัปดาห์ ( ศุกร์ที่ 4 ก.ค. 68 เทียบกับ ศุกร์ที่ 27 มิ.ย. 68)

เทรเชอริสต์

ดัชนีกองทุนเทรเชอริสต์ รายสัปดาห์ ( ข้อมูล ณ ศุกร์ที่ 4 ก.ค. 68 เทียบกับ ศุกร์ที่ 27 มิ.ย. 68 )

เทรเชอริสต์

[Vision Exclusive] TU แนะเปิดเจรจา FTA หวังต่อรองภาษีสหรัฐ

หุ้นวิชั่น

2 บิ๊ก"อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต"รุกจัดงานสัมมนาผู้บริหารตัวแทนประจำปี 2568

สยามรัฐ

EKH จบซื้อหุ้นคืน 342 ล้านบาท 55 ล้านหุ้น จากวงเงินไม่เกิน 400 ล้านบาท ตั้งแต่ 13ม.ค.-11ก.ค.

กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...