ล้วงลับ ขนมหวานญี่ปุ่น ก่อนจะกลายเป็นของดียอดฮิต
เชื่อว่าใคร ๆ หลายคนก็สนใจ ก็ชอบอะไรหลาย ๆ อย่างที่เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น ! ไม่ว่าจะทั้งที่เที่ยว ที่กิน แม้กระทั่งของหวาน แต่ยังไม่เคยรู้กันใช่ไหมว่าที่มาของขนมขวานสุดแสนอร่อยมาจากไหนกันบ้าง วันนี้ Sanook จะพาทุกคนมา ล้วงลับ ขนมหวานญี่ปุ่น ก่อนจะกลายเป็นของดียอดฮิต
ตำนานเล่าว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อน พระโปรตุเกสกลุ่มหนึ่งตั้งใจจะเดินทางไปยังมาเก๊า แต่กลับเผชิญมรสุมจนเรือเข้ามาเกยที่เมืองนางาซากิ โดยไม่คาดคิดว่าการเดินทางผิดเส้นทางครั้งนั้นจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของญี่ปุ่น ทั้งในแง่วัฒนธรรมและอาหารการกิน สิ่งล้ำค่าที่ชาวโปรตุเกสนำติดตัวมาด้วยก็คือ “น้ำตาล” วัตถุดิบเรียบง่ายที่ทำให้ญี่ปุ่นได้รู้จักรสหวานอย่างแท้จริง
ในศตวรรษที่ 16 เมืองนางาซากิซึ่งตั้งอยู่บนเกาะคิวชู เป็นเพียงเมืองเดียวที่เปิดให้ชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายได้ เมืองนี้จึงกลายเป็นศูนย์กลางแห่งรสหวาน และเป็นจุดกำเนิดของขนมญี่ปุ่นมากมายที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน ขนมที่โด่งดังที่สุดคือ “คัสเทลล่า” (Castella) เค้กเนื้อนุ่มที่ได้รับอิทธิพลจากโปรตุเกส แต่ปรับสูตรด้วยน้ำเชื่อม มิสึอาเมะ ที่ทำจากข้าวเหนียว จนกลายเป็นเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่นแท้ ๆ
ร้าน “Fukusaya” ในเมืองนางาซากิ ซึ่งเปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1624 คือสถานที่ที่ผู้คนนิยมไปลิ้มรสคัสเทลล่าดั้งเดิม ปัจจุบันสาขาหลักอยู่ในเมืองฟุกุโอกะ ย่านอากาซากะใกล้สถานีฮากาตะ ตัวเค้กถูกตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ห่อด้วยกระดาษสีสดและจัดใส่กล่องสวยงาม เหมาะกับการซื้อกลับเป็นของฝาก แม้จะมีรสพิเศษในบางฤดูกาล เช่น ซากุระในฤดูใบไม้ผลิ หรือช็อกโกแลตในช่วงคริสต์มาส แต่รสดั้งเดิมยังคงขายดีที่สุดเสมอ
นอกจากคัสเทลล่าแล้ว ยังมี “คมเปโตะ” (Konpeito) ลูกกวาดน้ำตาลหลากสีรูปดาวหรือลูกดอกไม้ที่หลายคนรู้จักดี ขนมนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากคำโปรตุเกส confeito ซึ่งหมายถึงลูกกวาดน้ำตาล ความเล็กของมันไม่ใช่เพื่อความน่ารักเพียงอย่างเดียว แต่สะท้อนให้เห็นว่าน้ำตาลเคยเป็นของหายากและมีราคาแพง แม้เพียงน้อยนิดก็ถือว่าล้ำค่า
คมเปโตะยังมีความเกี่ยวพันกับราชวงศ์ญี่ปุ่นด้วย เพราะตามธรรมเนียม เมื่อมีพระราชพิธีสำคัญ เช่น งานอภิเษกสมรสหรือพิธีราชาภิเษก จักรพรรดิและพระราชินีจะพระราชทานกล่องเงินแท้ที่เรียกว่า “บงบงนิเยร์” (bonbonniere) ประดับด้วยดอกเบญจมาศ สัญลักษณ์ของราชวงศ์ โดยภายในบรรจุคมเปโตะเพื่อมอบแก่แขกผู้มีเกียรติ ซึ่งรวมถึงกษัตริย์และราชินีจากหลายประเทศในยุโรป
ทุกวันนี้ แม้น้ำตาลจะหาง่ายขึ้น แต่เชฟญี่ปุ่นรุ่นใหม่บางคนพยายามฟื้นฟูวัตถุดิบโบราณที่ใช้ก่อนน้ำตาลเข้ามาแทนที่ ตัวอย่างเช่นเชฟ Abbatemarco แห่งห้องอาหาร Est ในโรงแรม Four Seasons ที่กรุงโตเกียว เขาใช้เวลากว่าทศวรรษค้นหาน้ำผึ้งหายาก เช่น น้ำผึ้งบัควีท น้ำผึ้งโซบะ และน้ำตาลวาซัมบอน เพื่อนำมาสร้างขนมฝรั่งเศสสไตล์ petits fours ให้แขกได้สัมผัสรสชาติที่ทั้งย้อนยุคและร่วมสมัย
เรื่องราวของขนมหวานญี่ปุ่นจึงไม่ได้มีเพียงรสชาติ แต่ยังสะท้อนประวัติศาสตร์ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการปรับตัวตามยุคสมัย จากพระโปรตุเกสที่เดินทางผิดเส้นทางในอดีต สู่เชฟรุ่นใหม่ที่สืบสานความหวานในปัจจุบัน แม้วันนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางมาญี่ปุ่นด้วยเครื่องบินแทนเรือ แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ ความหลงใหลในรสหวานที่ยังคงเป็นเสน่ห์อมตะของแดนอาทิตย์อุทัย