พาหะไวรัสตับอักเสบบี เป็นได้ไม่รู้ตัว แนะวิธีตรวจ-รักษาไม่ส่งต่อเชื้อ
ในปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมากกว่า 350 ล้านคน และกว่า 260 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 75 อาศัยอยู่ในทวีปเอเชีย ดังนั้น ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน อาฟริกา รวมทั้งประเทศไทยจึงเป็นแหล่งที่มีโรคไวรัสตับอักเสบบีชุกชุมมาก โดยประชากรประมาณร้อยละ 3-6 มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งแสดงว่าประชากรประมาณ 2-4 ล้านคน มีเชื้อไวรัสบีที่พร้อมจะแพร่และก่อให้เกิดความเจ็บป่วยกับผู้อื่น
อาการแสดงของโรคไวรัสตับอักเสบบี
ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 6-8 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี อาจไม่มีอาการหรือมีอาการของโรคตับอักเสบฉับพลันแต่ไม่รุนแรง ได้แก่
- อาการมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- ตาและตัวเหลือง
- อาการรุนแรง ตับโต จนถึงภาวะตับวายเฉียบพลัน
ในผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะทุเลาลงในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ และหายภายใน 2 เดือน แต่มีผู้ที่ติดเชื้อร้อยละ 5-10 ไม่หายสนิท เกิดโรคตับอักเสบเรื้อรังตามมา ซึ่งในอีก 10 ถึง 20 ปีต่อมา อาจกลายเป็นโรคตับแข็ง และมะเร็งตับในที่สุด แต่ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ในวัยแรกเกิดมักไม่มีอาการ ซึ่งในกลุ่มนี้ร้อยละ 90 จะกลายเป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง
เชื้อไวรัสตับอักเสบบีมีมากในเลือด นอกจากนี้ยังพบได้ในสิ่งคัดหลั่งต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น น้ำตา น้ำมูก น้ำอสุจิ เยื่อเมือกจากช่องคลอด น้ำคร่ำ เลือด ประจําเดือน ดังนั้นการสัมผัสเลือด เช่น การได้รับเลือด ผลิตภัณฑ์ของเลือด เข็มฉีดยา การฝังเข็มและเครื่องมือต่าง ๆ ที่มีการปนเปื้อนเลือดของผู้มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ก็มีโอกาสติดเชื้อได้ และยังพบว่าแม้เลือดจะมีปริมาณน้อย 1 ในหมื่นถึง 1 ในล้านของซีซี (0.0001 - 0.000001 ml) ก็ยังสามารถติดเชื้อได้เช่นกัน
การติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- การสัมผัสน้ำคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น เลือด น้ำเหลือง
- จากการได้รับเลือด
- ทางเพศสัมพันธ์
- จากแม่สู่ลูกขณะคลอด
- ภายในครอบครัวที่มีผู้ติดเชื้อ
โรคตับอักเสบจากไวรัสบี และมะเร็งตับ
พบว่าโอกาสเกิดมะเร็งตับในผู้ป่วยที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี จะมีประมาณร้อยละ 0.49 ต่อปี และสูงเป็นร้อยละ 2-5 ต่อปี ในผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งในคนไทยพบว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี มีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูงกว่าคนปกติประมาณ 35-400 เท่า ในประเทศญี่ปุ่นพบว่า ผู้ป่วยตับแข็งจากไวรัสตับอักเสบบี ติดตามไป 15 ปี มีโอกาสเกิดมะเร็งตับสูงถึงร้อยละ 27
ส่งต่อโรคตับอักเสบจากไวรัสบี จากแม่สู่ลูกในครรภ์
- ในประเทศไทยพบว่า มารดาเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี ทารกจะมีโอกาสติดโรคจากมารดาได้ประมาณร้อยละ 40-90 ทารกเพศชายที่ติดเชื้อ เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มีโอกาสเป็นโรคตับสูงกว่าทารกเพศหญิงที่ติดเชื้อ แต่ในทารกเพศหญิงที่ติดเชื้อก็จะเติบโตเป็นมารดาที่เป็นพาหะต่อไป การติดเชื้อของทารกส่วนใหญ่เกิดขึ้นในระหว่างการคลอด
- การป้องกันในทารกแรกเกิดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตัดวงจรดังกล่าว และลดความชุกชุมของไวรัสตับอักเสบบีลงได้ จึงควรตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในผู้ตั้งครรภ์ทุกราย โดยการตรวจหา HBsAg ในเลือด
- พบว่าไวรัสตับอักเสบบีสามารถผ่านทางน้ำนมได้ และจะผ่านมากขึ้นถ้าหัวนมมารดามีแผล จึงมีปัญหาว่า ทารกกินนมมารดาได้หรือไม่? จากการศึกษาพบว่า ประเทศที่มีความชุกชุมของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสูงนั้น การติดเชื้อในทารกที่กินนมมารดาและนมผสมไม่แตกต่างกัน และเนื่องจากนมแม่มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนแรก จึงยังแนะนําให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ ยกเว้นมารดามีแผลที่หัวนมหรือลูกขบกัดหัวนมแม่
พาหะไวรัสตับอักเสบบี
โดยพาหะของไวรัสตับอักเสบบีคือผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี อยู่ในร่างกายแต่ไม่มีอาการตับอักเสบ บุคคลที่เป็นพาหะสามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้
คําแนะนําสําหรับผู้เป็นพาหะ
- บํารุงร่างกายให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนสารอัลฟาท็อกซิน เช่น ถั่วลิสงตากแห้ง พริกป่น
- งดสุรา และสิ่งที่มีผลต่อตับ โดยเฉพาะไม่ควรซื้อยากินเอง ซึ่งรวมถึงยาบํารุง วิตามินบางชนิด หรือสมุนไพร โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
- งดบริจาคเลือด รวมถึงน้ำเชื้ออสุจิ
- งดการใช้ของร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะของที่ปนเปื้อนเลือดได้ เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน
- ออกกําลังกายและทํางานได้ตามปกติ เพียงงดกีฬาหรือการทํางานที่หักโหมเกินไป
- แนะนําให้ผู้ที่ยังไม่มีภูมิกันโรคที่ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นพาหะฉีดวัคซีน
- ใช้ถุงยางอนามัย เมื่อจะมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรคนี้
- เมื่อมีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์
- ผู้ที่มีอายุเกิน 30 ปี ควรพบแพทย์เพื่อทําการตรวจเฝ้าระวังมะเร็งตับอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง
จะทราบได้อย่างไร? ว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
การตรวจเลือด เป็นวิธีที่ใช้กันโดยแพร่หลาย สะดวก และรวดเร็ว การตรวจเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- HBsAg (Hepatitis B Surface Antigen) ถ้าผลเป็นบวก แสดงว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- HBeAg เป็นบวก แสดงว่ามีเชื้อไวรัสบีที่กําลังแบ่งตัว ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ป่วยจะแพร่เชื้อได้
- HBV-DNA ตรวจหาปริมาณของเชื้อไวรัสตับบีโดยตรงจากเลือด
- AntiHBc ตรวจหาแอนติบอดี้ต่อเชื้อ ว่าผู้ใดเคยติดเชื้อมาในอดีต
- ตรวจพบ AntiHBs แสดงว่ามีภูมิคุ้มกันต่อโรค
การรักษาโรคตับอักเสบจากไวรัสบี
- กลุ่มพาหะกลุ่มนี้ไม่มีการอักเสบของตับ แต่เนื่องจากมีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูงกว่าคนปกติ จึงควรพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจคัดกรองมะเร็งตับเป็นระยะ
- กลุ่มที่มีอาการติดเชื้อเฉียบพลัน ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการตัว ตาเหลือง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่อ อาหาร แนะนําให้รับประทานอาหารครบทุก หมู่ อาจแบ่งเป็นมื้อเล็กๆ หลายๆ มื้อ ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อร้อยละ 85-90 มักหาย และมีภูมิคุ้มกัน ส่วนอีกร้อยละ 5-10 จะไม่หายและกลายเป็นพาหะหรือตับอักเสบเรื้อรังต่อไป
- กลุ่มที่มีภาวะตับอักเสบเรื้อรัง คือค่าเอนไซม์ในตับผิดปกตินานติดต่อกันเกิน 6 เดือน กลุ่มนี้มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดตับแข็ง และมะเร็งตับได้สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการรักษา
ได้มีการศึกษาวิจัยอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ยาที่เป็นที่ยอมรับและใช้กันแพร่หลาย คือ อินเตอเฟอรอน (Interferon) ซึ่งเป็นยาฉีด และยารับประทาน ปัจจุบันมีอยู่หลายชนิด ประสิทธิภาพของยาจะได้ผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับภาวะของผู้ป่วย เพศ จํานวนเชื้อไวรัส รวมถึงสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสด้วย ผลของการรักษาสามารถทําให้ HBsAg หายไป เกิด AntiHBe ร่วมกับลดการอักเสบของตับ แสดงว่าผู้ป่วยหายจากโรคได้ประมาณร้อยละ 40-60 แต่การรักษามีผลข้างเคียง และต้องใช้เวลานาน ดังนั้นกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคทางเดินอาหารและตับ เพื่อพิจารณาให้การรักษาต่อไป
โรคตับอักเสบจากไวรัสบี เป็นปัญหาสําคัญทางสาธารณสุข รักษายากแต่สามารถป้องกันได้ ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบจากไวรัสบีซึ่งได้ผลดีมาก รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก
กลุ่มประชากรที่ควรจะได้รับวัคซีน
- ทารกคลอดจากมารดาที่เป็นพาหะ
- ทารกแรกเกิดทุกราย
- บุคคลที่อาศัยบ้านเดียวกับผู้ป่วยที่เป็นพาหะและยังไม่มีภูมิคุ้มกัน
- ผู้ที่ทํางานเสี่ยงต่อการติดโรค เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ตํารวจ ทหาร
- เด็กอายุ 7-15 ปี ที่ยังไม่มีภูมิอักเสบจากไวรัสบี
- ผู้ใหญ่ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคตับอักเสบจากไวรัสบี
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์