ซิฟิลิส-หนองใน ระบาดเพิ่ม ปัจจัยเสี่ยงหลักไม่ใส่ถุงยาง เปลี่ยนคู่นอน
ซิฟิลิส หนองใน ระบาดเพิ่ม ปี68 ป่วยพุ่งกว่า 3 หมื่นราย เยาวชนเสี่ยงสูง ผู้ชายพบติดเชื้อสูงกว่าผู้หญิงเล็กน้อย ขณะที่เชียงใหม่ติดอันดับต้นๆ ของประเทศ
เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2568 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เผย ซิฟิลิส–หนองใน ระบาดเพิ่ม แพทย์ มช. เตือนอย่าชะล่าใจ เยาวชนไทยเสี่ยงสูง
อ.พญ.กวิสรา กระแสเวส อาจารย์ประจำหน่วยวิชาโรคติดเชื้อและเวชศาสตร์เขตร้อน ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า "จากข้อมูลของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่า สถานการณ์ล่าสุดปี 2568 มีอัตราการติดเชื้อซิฟิลิสในประเทศไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีผู้ป่วยรายใหม่กว่า 22,870 ราย หรือคิดเป็น 35.2 รายต่อประชากรแสนคน เพิ่มขึ้นถึง 80% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งพบเพียง 12,296 ราย
กลุ่มเพศชายพบการติดเชื้อสูงกว่าเพศหญิงเล็กน้อย ขณะที่จังหวัดเชียงใหม่ยังคงติดอันดับต้นๆ ของประเทศ
สำหรับ หนองใน พบผู้ป่วยปี 2568 จำนวน 12,480 ราย คิดเป็น 19.2 รายต่อประชากรแสนคน เพิ่มจากปี 2565 ที่มีการติดเชื้อ 5,625 ราย โดยพบการติดเชื้อในเพศชายสูงกว่าเพศหญิง
โรคซิฟิลิส เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ที่มีชื่อว่า ทรีโพนีมา แพลลิดัม (Treponema pallidum) ติดต่อหลักจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน อาการมีหลายระยะ ตั้งแต่แผลเดี่ยวไม่เจ็บบริเวณอวัยวะเพศ (ระยะที่ 1) ผื่นตามฝ่ามือ-ฝ่าเท้าและไข้ (ระยะที่ 2) ไปจนถึงระยะซ่อนเร้นที่ไม่มีอาการ แต่สามารถพัฒนาเป็น ระยะที่ 3 ซึ่งรุนแรงและทำลายหัวใจ สมอง ดวงตา หรือหูได้หากไม่ได้รับการรักษา
สำหรับ หนองใน คือ การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ มาจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า ไนซีเรีย โกโนเรีย (Neisseria gonorrhoeae) พบอาการในชายคือปัสสาวะแสบขัด หนองไหลจากท่อปัสสาวะ ส่วนหญิงส่วนใหญ่มักไม่มีอาการชัดเจน แต่อาจมีตกขาวผิดปกติ ปวดท้องน้อย หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ หากปล่อยไว้เสี่ยงอุ้งเชิงกรานอักเสบ เป็นหมัน หรือเกิดการติดเชื้อกระจายไปหัวใจ ข้อ และเยื่อหุ้มสมองได้
อ.พญ.กวิสรา เตือนว่าปัจจัยเสี่ยงหลักคือการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย นอกจากนี้ ซิฟิลิสยังสามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ระหว่างตั้งครรภ์ ส่วนหนองในมักติดต่อสู่ทารกขณะคลอด ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตาและภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
ทั้งซิฟิลิสและหนองใน สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ หากตรวจพบและรักษาเร็ว พร้อมทั้งต้องให้คู่นอนเข้ารับการรักษาด้วยเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
"โรคเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวของวัยรุ่นยุคนี้ โดยเฉพาะเมื่อพฤติกรรมทางเพศเปลี่ยนไปเร็วและการใช้ถุงยางอนามัยยังไม่ครอบคลุม เราอยากให้เยาวชนเห็นความสำคัญของการป้องกันและการตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ" — อ.พญ.กวิสรา กล่าว