เริ่มแล้ว ! ‘สั่งก่อนเที่ยงต้องส่งภายในวัน’ กฎใหม่ Shopee สะเทือนร้านค้าออนไลน์ ร้านใหญ่ต้องปรับตัว ร้านเล็กอ่วม
Shopee ออกกฎเป็นนโยบายใหม่ด้านระยะเวลาในการจัดส่ง กระทบร้านค้าออนไลน์ ซึ่งเงื่อนไขใหม่นี้จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 กันยายน 2025 เป็นต้นไป
สงครามส่งด่วนเริ่มแล้ว ! เมื่อ Shopee บริษัทอีคอมเมิร์ซชื่อดังได้มีนโยบายใหม่ “คำสั่งซื้อที่ทำการจ่ายสำเร็จก่อนเที่ยงวัน ร้านจะต้องจัดส่งภายในวันนั้น” หลังกฎนี้ถูกประกาศออกมา ก็เป็นที่ถกเถียงกันของผู้ขาย และมีคำถามตามมาว่า “เอาใจผู้ซื้อ แต่ขูดรีดผู้ขายเกินไปหรือไม่ ?”
บทความนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับกฎหรือนโยบายใหม่นี้ให้มากขึ้น พร้อมบทวิเคราะห์ภาพรวมผลกระทบ สรุปแล้วเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคจริงไหม ?
ทำความรู้จักนโยบายใหม่ด้านระยะเวลาการส่งของ Shopee
Shopee ได้ปรับนโยบายด้านระยะเวลาการจัดส่งสินค้า เพื่อยกระดับความรวดเร็วในการให้บริการ โดยเน้นการจัดส่งที่เร็วขึ้น โดยเฉพาะสำหรับคำสั่งซื้อที่เป็น “สินค้าพร้อมส่ง” ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตามเงื่อนไขใหม่ดังนี้
- ปรับระยะการจัดส่ง
เดิม Shopee กำหนดให้ ระยะเวลาเตรียมการจัดส่ง (DTS – Day to Ship) ต้องส่งภายในวันถัดไป แต่นโยบายใหม่ สำหรับคำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จภายใน 12.00 น. และเป็นสินค้าพร้อมส่ง จากเดิม 1 วัน เป็น ภายในวัน โดยไม่นับรวมวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์
กรณีที่คำสั่งซื้อที่ชำระเงินสำเร็จหลัง 12.00 น. เป็นต้นไป สามารถส่งภายในวันถัดไป (1 วัน) ได้ตามเดิม
- อัตราการจัดส่งสินค้าล่าช้า
Shopee ให้ร้านค้าจัดส่งสินค้าให้ขนส่งล่าช้าได้ในอัตราไม่เกิน 15% ของจำนวนคำสั่งซื้อทั้งหมด ในรอบระยะเวลา 7 วัน จากเดิมในอัตรา 10%
โดยกฎนี้จะไม่รวมคำสั่งซื้อที่มีช่องทางการจัดส่งแบบ Standard Delivery Bulky (การขนส่งสำหรับสินค้าขนาดใหญ่) จะมีระยะเวลาเตรียมสินค้าและจัดส่ง 1 วันตามเดิม
และกรณีที่การจัดส่งสินค้าให้ขนส่งล่าช้า ที่มาจากตัวขนส่งที่ Shopee รองรับ เข้ารับสินค้าช้ากว่าที่กำหนด (ไม่ใช่ความผิดร้านค้า) สามารถยื่นอุทธรณ์กับ Shopee ได้
คำแนะนำจาก Shopee เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกยกเลิกคำสั่ง
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกยกเลิกคำสั่งซื้ออัตโนมัติ Shopee แนะนำให้ร้านค้าทำวิธีต่อไปนี้
- จัดเตรียมการจัดส่งคำสั่งซื้อ
- นำส่งหรือนัดรับพัสดุกับบริษัทขนส่งที่ท่านเลือกภายในระยะเวลาที่กำหนด (หากไม่ดำเนินการภายใน 2 วัน หลังจากวันที่ต้องจัดส่ง คำสั่งซื้อจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ)
คำสั่งซื้อล่าช้า – ถูกยกเลิกอัตโนมัติ Shopee กำหนดไว้อย่างไร ?
เพื่อรักษามาตรฐานของบริการ และส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ซื้อ Shopee ได้กำหนด เกณฑ์เวลา สำหรับการจัดส่งคำสั่งซื้อไว้อย่างชัดเจน โดยร้านค้าจะต้องดำเนินการภายในเวลาที่ระบบกำหนด หากไม่ทำตาม อาจนำไปสู่สถานะ “ล่าช้า” หรือถูกยกเลิกคำสั่งซื้อโดยอัตโนมัติ
หลังจากที่ลูกค้า ชำระเงินแล้ว (คำสั่งซื้อสำเร็จ) ระบบของ Shopee จะเริ่มนับเวลาเพื่อตรวจสอบว่า ร้านค้าดำเนินการจัดส่งรวดเร็วตามมาตรฐานหรือไม่ โดยมีการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
กลุ่มที่ 1 คำสั่งซื้อที่สำเร็จ (โดยชำระเงินแล้ว) สินค้าถูกจัดส่งภายในวันนั้น (0 วัน) หรือจัดส่งในวันถัดไป (1 วัน) หากจัดส่งทันภายใน 1 วัน ระบบจะถือว่าจัดส่งภายในเวลา กรณีนี้จะไม่มีปัญหา
กลุ่มที่ 2 จัดส่งภายหลัง ในช่วงวันที่ 1-2 หลังจากวันที่ต้องจัดส่ง ระบบจะถือว่าจัดส่งล่าช้า
กลุ่มที่ 3 จัดส่งล่าช้าเกิน 2 วัน นับจากวันที่ต้องจัดส่ง คำสั่งซื้อจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ
[บทวิเคราะห์] Shopee ออกกฎใหม่ ทำเพื่อผู้บริโภคจริงหรือ ?
Shopee ระบุว่า วัตถุประสงค์ของการออกกฎใหม่นี้คือ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภค โดยเฉพาะในเรื่องของความเร็วในการจัดส่งสินค้า Shopee เชื่อว่าการที่ลูกค้าสั่งสินค้าในวันนี้แล้วสามารถได้รับสินค้าภายในวันเดียวกันหรือวันถัดไปนั้น จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจและกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำมากขึ้น
ในมุมของผู้ซื้อ แน่นอนว่าความรวดเร็ว คือสิ่งที่ทุกคนต้องการ ผู้บริโภคยุคปัจจุบันคุ้นเคยกับการได้ของไว มีระบบติดตามสถานะสินค้าทันที ความสะดวกสบายเหล่านี้กลายเป็นมาตรฐานของโลกอีคอมเมิร์ซ แต่ในขณะที่ Shopee ชูธงว่านี่เป็นการ “ทำเพื่อผู้บริโภค” คำถามที่ตามมาคือ กฎใหม่นี้ทำให้ผู้ขายเดือดร้อนมากเกินไปหรือไม่ ?
แรงกดดันที่เกิดกับฝั่งร้านค้า
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในระบบคือ ร้านค้าทั้งรายใหญ่และรายย่อยต่างได้รับผลกระทบจากนโยบายใหม่ โดยเฉพาะกฎที่เกี่ยวข้องกับเวลาการเตรียมจัดส่งที่บีบให้เร็วขึ้น (เช่น ภายใน 1 วัน หรือไม่เกิน 24 ชั่วโมง)
สำหรับร้านค้าเล็ก ๆ หรือร้านที่มีพนักงานจำนวนน้อย นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก การเตรียมของ แพ็กของ และจัดส่งให้ทันในเวลาที่กำหนด กลายเป็นภาระที่หนักขึ้นทันที โดยเฉพาะเมื่อไม่มีการเพิ่มทรัพยากรหรือแรงงานที่เพียงพอรองรับ
นอกจากนี้ ร้านค้าหลายแห่งยังประสบปัญหากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าขนส่ง และค่าจ้างพนักงาน โดยแพลตฟอร์มไม่ได้เข้ามามีส่วนช่วยสนับสนุนในด้านเหล่านี้ ในขณะที่ยังคงเก็บค่าธรรมเนียมจากร้านค้าในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ความเหลื่อมล้ำระหว่างแพลตฟอร์มกับร้านค้า
นโยบายเร่งรัดการส่งสินค้าอาจดูเป็นการยกระดับบริการของแพลตฟอร์ม แต่ในอีกด้านหนึ่งคือการผลักภาระไปยังร้านค้า ผู้ที่ต้อง “รับมือ” กับคำสั่งซื้อจำนวนมากในเวลาที่จำกัด โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ หากไม่ทำตามอาจถูกลงโทษ เช่น ได้คะแนนร้านค้าที่ต่ำลง หรือโดนลดอันดับการมองเห็นในหน้าแพลตฟอร์ม
ขณะที่ Shopee เองกลับเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากนโยบายเหล่านี้ เพราะสามารถสร้างภาพลักษณ์ว่า “จัดส่งไว บริการดี” โดยที่ต้นทุนของความรวดเร็วนั้น ไม่ได้เกิดจากการลงทุนของ Shopee โดยตรง แต่กลับมาจากการแบกรับของร้านค้าและพนักงานขนส่ง
อย่างไรก็ตาม นโยบายใหม่ของ Shopee อาจดูเหมือน “ทำเพื่อผู้บริโภค” แต่ ในทางปฏิบัติ กลับเป็นการโอนภาระทั้งหมดมายังฝั่งร้านค้าและแรงงานระบบ โดยที่แพลตฟอร์มได้ประโยชน์ในเชิงภาพลักษณ์และรายได้
หากไม่มีการสร้างระบบสนับสนุนที่เหมาะสม เช่น การลดค่าธรรมเนียม, การให้เงินสนับสนุนร้านค้า หรือการปรับข้อตกลงระดับในการให้บริการ หรือ SLA (Service Level Agreement) ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น ร้านค้าร้านใหญ่ที่เป็นกลุ่ม Mall อาจจะพออยู่ได้ แต่ก็อยู่ได้ยากและต้องปรับตัวมากขึ้น ในขณะที่ร้านค้ารายย่อยจำนวนมากอาจไม่สามารถแข่งขันในระบบนี้ได้ และอาจนำไปสู่การออกจากแพลตฟอร์มในระยะยาว