ธุรกิจนิคมอุตฯ ซึม นักลงทุนเมินซื้อ “ที่ดิน” ผวาภาษีสหรัฐฯ รีดไทย
วันนี้ (9 ส.ค.68)น.ส.กีรติญา ครองแก้ว นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) เปิดเผยว่า ในปี 2568 ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มลดลงจากปี 2567 ขณะที่พื้นที่โรงงานสำเร็จรูปให้เช่ามีแนวโน้มชะลอตัวลงซึ่งเป็นผลจากการชะลอการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติบางส่วนเพื่อรอความชัดเจนของอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ แต่การลงทุนเพื่อมาเจาะตลาดอาเซียนยังเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในปีนี้ต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงสำคัญจากแนวโน้มการชะลอเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติซึ่งเป็นผลจากการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยการปรับขึ้นภาษีนำเข้า 10% สำหรับสินค้าจากทุกประเทศ พร้อมทั้งเพิ่มอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) สำหรับประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในอัตราที่แตกต่างกัน ทำให้ไทยถูกจัดเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 36% นั้น
แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะประกาศเลื่อนการจัดเก็บภาษีไปเป็นวันที่ 1 ส.ค.68 อีกทั้ง ไทยยังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจากับสหรัฐฯ จึงส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วนที่มีแผนลงทุนในไทยเพื่อเป็นฐานการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ชะลอการตัดสินใจที่จะลงทุนออกไปเพื่อรอผลการเจรจาและรอความชัดเจนของอัตราภาษีนำเข้า
ขณะที่การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะมารองรับการเติบโตของตลาดอาเซียนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยในไตรมาสแรกของปี 2568 มูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนยังคงขยายตัว 74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จาก 2.2 แสนล้านบาทในปี 2567 เป็น 3.8 แสนล้านบาท
และมูลค่าอนุมัติส่งเสริมการลงทุนขยายตัวสูงถึง 109% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จาก 2.5 แสนล้านบาทในปี 2567 เป็น 5.3 แสนล้านบาท ซึ่ง 25% ของมูลค่าขอรับส่งเสริมลงทุน และ 53% ของมูลค่าอนุมัติลงทุน เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลที่ขยายตัวมากกว่า 400% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะการลงทุนตั้งศูนย์ Data center ที่เน้นขยายตลาดทั้งในไทยและอาเซียนเพื่อรองรับความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในทางกลับกัน ข้อมูลของ BOI ยังเริ่มพบสัญญาณชะลอการลงทุนในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ของไทยจากมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนที่ลดลงถึง -50% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และมูลค่าการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนที่ลดลงถึง -66% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน นอกจากนี้ ในภาพรวมการลงทุนในไทยมูลค่าการลงทุนต่อโครงการมีแนวโน้มลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงก่อนหน้าที่มี
การลงทุนขนาดใหญ่ของกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV Cluster) อีกด้วย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมลดลงและพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปให้เช่าชะลอตัวลง
ในปี 2568 ยอดโอนที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมมีโอกาสลดลงจากปี 2567 มาอยู่ที่ 3,000 ไร่ จากการชะลอการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเพื่อรอความชัดเจนของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ประกอบกับความต้องการที่ดินขนาดใหญ่เพื่อจัดตั้งโรงงานมีไม่มากเท่าในช่วงก่อนหน้าด้วยมูลค่าการลงทุนต่อโครงการที่มีแนวโน้มลดลง
โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี ยอด Pre-Sale ของผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมยังคงเติบโตราว 16% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สอดคล้องกับตัวเลขมูลค่าอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในภาพรวม และคาดว่าการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ในช่วงต้นไตรมาส 2 จะทำให้ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมชะลอตัวลงในช่วงที่เหลือของปี
ขณะที่การขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกราว 5,000 ไร่ ตามการประกาศแผนพัฒนาและเปิดพื้นที่ใหม่ปี 2568 โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายพื้นที่นิคมฯ เดิมในจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ EEC ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา