เปิดแฟ้มคดีลับสิ่งมีชีวิตนอกโลก วันหนึ่งเราอาจสนิทกันจนเป็นสหายพิสดาร
มนุษย์เรอะ! เจ้าเผ่าพันธุ์ที่หมกมุ่นกับสิ่งไม่จำเป็น คอยแต่งบ้านให้สวย จัดดอกไม้ ทำอาหารให้หน้าตาดีทั้งที่แค่อิ่มก็พอน่ะนะ ทั้งช่างฝันช่างจินตนาการ ฉลาดล้ำพอที่จะสร้างยานอวกาศ แต่ขาดเขลาพอที่จะโกรธเกรี้ยวสร้างสงครามทำลายกันเอง
ไหนจะชอบก้าวออกจากที่ปลอดภัย บางตนก็เดินเท้าสูงขึ้นสู่ยอดเขา บางตนขึ้นไปบนยอดเขาแค่เพื่อมองสิ่งที่อยู่ไกลออกไป บางตนกระโจนลงสู่ผืนน้ำลึกทั้งที่มีโอกาสตาย พวกเขาเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าการผจญภัย ไม่แน่ใจว่ามันคือความกล้าหรือความโง่กันแน่ อาจจะทั้งคู่
เอเลียนเหรอ! เราไม่รู้ว่าพวกเขาเรียกแทนตัวเองว่าอะไรหรอกนะ แต่เราให้นิยามว่าเอเลียนที่หมายความถึงชาวต่างด้าว ร่างสูงใหญ่ราวสองเมตร แต่เนื้อตัวกลับซูบซีดเหมือนจะเดินไม่ไหว ผิวกายเขียวมันเงา ฟันแหลมเล็กคล้ายสัตว์นักล่า ดวงตากลมโตสุกสกาวอย่างกับบึงจักรวาลขนาดย่อม และพวกเขาไม่มีขน
ทั้งชอบย่องแอบมาเยี่ยมเราอยู่บ่อยครั้ง ด้วยยานพาหนะรูปทรงประหลาดแล่นไปมาบนท้องฟ้า ไม่รู้ว่าทำให้มันมีความไวเท่าแสงขนาดนั้นได้อย่างไร แล้วไหงถึงเอาแต่แวบไปมาอย่างหลบซ่อน ยิ่งดูมีพิรุธ อย่าให้จับได้ก็แล้วกัน ถึงคราวนั้นคงจะต้องไต่สวนให้รู้เรื่อง
หรือไม่ พวกเขาอาจไต่สวนเราได้สำเร็จก่อน
สองชั่วโมงที่หายไป
คืนที่ 19 กันยายน 1961 บาร์นีย์และเบ็ตตี้ ฮิลล์ คู่สามีภรรยากำลังขับรถกลับบ้าน หลังทริปเที่ยวพักร้อนในประเทศแคนาดา เส้นทางในเมืองพอร์ตสมัทเงียบสนิท มีเพียงแสงไฟหน้ารถฉายบนถนนเปียกฝน
เบ็ตตี้สังเกตเห็นจุดแสงหนึ่งสว่างบนท้องฟ้า เธอยักไหล่ คิดว่าอาจเป็นดวงดาวหรือไม่ก็ดาวเทียม แต่จู่ๆ แสงนั้นก็เริ่มขยับเคลื่อนไหว ค่อยๆ เลี้ยวตามรถของพวกเขา มันเคลื่อนที่เร็วขึ้น เร็วขึ้น ก่อนจะหยุดนิ่งไป เบ็ตตี้รีบชี้นิ้วให้บาร์นีย์ดู และด้วยความอยากรู้อยากเห็นของบาร์นีย์ ทำให้เขากล้าย่างเท้าลงจากรถอย่างไม่หวั่นกลัว ทั้งคว้ากล้องส่องทางไกลพกพา สองตาเห็นวัตถุทรงจานบิน ขนาดกว้างเท่าลานฟุตบอลลอยคว้างอยู่ไม่ไกล ภายในยานมีร่างผ่ายผอมสูงลิ่วมากกว่าห้าร่าง ดวงตาดำสนิท ทั้งหมดกำลังจ้องมองเขาอยู่
ทันใดนั้น ร่างกายของบาร์นีย์ก็แข็งทื่อ ราวสมองถูกสั่งการว่าอย่าขยับ! แสงสว่างวาบรุนแรงพุ่งเข้ามาหาพวกเขา และทั้งคู่ก็จำอะไรไม่ได้อีก นอกจากเสียงดังปิ๊บๆ ก้องในหู กะพริบตารู้ตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในเมืองคอนคอร์ดแล้ว ได้แต่เก็บคำถามเคลือบแคลงที่ไม่มีคำตอบไว้ระหว่างขับรถกลับบ้าน คืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมชายกระโปรงของเบ็ตตี้ถึงขาดวิ่น ผงสีชมพูที่โปรยปรายอยู่มาจากไหน
ดูเหมือนเหตุการณ์ประหลาดจะจบลง แต่ก็แค่เหมือน เพราะเบ็ตตี้เอาแต่นอนฝันร้ายซ้ำๆ ห้าคืนติดต่อกัน จนเธอต้องจดบันทึกหลังตื่นนอน
“ฉันและบาร์นีย์ถูกกลุ่มคนที่ตัวสูงราวห้าฟุตล้อมรอบ ผิวของพวกเขาเป็นสีเทา ผมดำขลับ นัยน์ตาเข้ม จมูกโด่ง ริมฝีปากเป็นสีน้ำเงิน สวมหมวกคล้ายทหาร”
“สิ่งเดียวที่ผมเห็นคือดวงตาคู่นั้น มันอยู่ใกล้ผมมาก ใกล้เสียจนแทบจะแนบชิดกับดวงตาของผม พวกเขาเหล่านั้นพึมพำด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจ หรือแม้ปากสีน้ำเงินนั้นจะไม่ขยับ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนคุยกับพวกเขาอยู่ จะบอกว่าเป็นการสื่อสารทางโทรจิตก็ไม่ผิดนัก” คำของบาร์นีย์และบันทึกของเบ็ตตี้ถูกบอกเล่าสู่องค์กร INCP คณะกรรมการสืบสวนปรากฏการณ์ทางอวกาศแห่งชาติ องค์กรนี้ยืนกรานว่ายานจานบินไม่ใช่เครื่องบิน สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเองก็ไม่ใช่มนุษย์
อีกความน่าสะพรึงหนึ่งคือภาพวาดแผนที่ดวงดาวจากความทรงจำของเบ็ตตี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่ภาพวาดยึกยือลวงหลอก นักดาราศาสตร์ค้นพบว่าแผนที่นี้ตรงกับระบบดาว Zeta Reticuli หลังจากหลายปีต่อมาที่เบ็ตตี้จากไป ในเวลานั้น มนุษย์ยังไม่รู้จักเส้นทางเชื่อมดาวแบบที่เธอวาดเลยด้วยซ้ำ
นี่คือคดีของครอบครัว Hill’s Abduction ผู้ถูกเอเลียนลักพาตัวที่โด่งดังไปทั่วโลก
ค่ำคืนเหนือรัฐแอริโซนา
คืนที่ 13 มีนาคม 1997 ณ รัฐแอริโซนา กลางเสียงลมหอบทะเลทราย จู่ๆ ท้องฟ้าเหนือเมืองก็สว่างขึ้นด้วยแสงสีส้มร้อนแรงที่ลอยเหนือผู้คนนับพัน วัตถุขนาดมหึมา รูปร่างสามเหลี่ยมดำสนิท ไฟใหญ่ราวสปอตไลต์เรียงตามขอบทั้งสามมุม แต่กลับไร้เสียง แม้แต่ควันดำก็ไม่มี วัตถุนั้นลอยนิ่งอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะเคลื่อนไหวช้าๆ ไปทางทิศตะวันตก แล้วหายวับไปในความมืด
“ฉันเห็นมันลอยอยู่ตรงนั้น ฉันรู้ว่านั่นไม่ใช่เครื่องบิน!”
“ดูเหมือนมันกำลังสังเกตพวกเราอยู่ สังเกตคนทั้งเมืองนี้”
ปรากฏการณ์พบเห็นวัตถุประหลาดแพร่กระจายข่าวออกไปอย่างรวดเร็ว จนรัฐบาลต้องออกมาชี้แจงว่าอาจเป็นแสงไฟจากประภาคาร หรือเครื่องบินทดสอบก็ได้ แต่พยานกว่า 7,000 คน ยืนยันเสียงกร้าวว่ามันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขารู้จักแน่ และด้วยสีส้มร้อนแรงนั้นทำให้ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกว่าแสงฟีนิกซ์
UFO (Unidentified Flying Object) ไม่ได้ถูกพบเห็นจากมนุษย์เพียงครั้งเดียว เช่น ปี 1561 เมืองนูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมัน ก็มีการเก็บหลักฐานภาพพิมพ์เก่า บันทึกท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยจานกลม ลูกบอล และแท่งไฟขนาดใหญ่
หรือ ปี 1947 รัฐรอสเวลล์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ชายชื่อเจสซี มาร์เซลพบเศษซากแปลกๆ กระจายอยู่ทั่วไร่ของเขา มันเป็นเศษโลหะขนาดเบาแต่แข็งกระด้าง ชิ้นส่วนบางชิ้นยืดหยุ่นได้แต่ไม่อาจขาดออกจากกัน ทั้งแผ่นบางเขียนสัญลักษณ์แปลกคล้ายอักษรโบราณประทับอยู่ เขาเก็บซากทั้งหมดไปให้กองทัพอากาศสหรัฐตรวจสอบ ถ้อยแถลงว่านี่เป็นจานบินลอยได้! ผู้คนพากันตื่นตะลึง พูดถึงเอเลียน ยานอวกาศ และสิ่งมีชีวิตนอกโลกกันให้แซด แต่แล้วก็เกิดความสับสนขึ้นอีกครั้ง เมื่อกองทัพกลับคำว่าเศษซากทั้งหมดเป็นเพียงบอลลูนตรวจอากาศ แต่มาร์เซลเชื่อสนิทใจว่ามันมาจากนอกโลก รัฐบาลแค่อยากเก็บกุมความลับไว้ต่างหาก
แล้วยานจานบินไปเยี่ยมเยียนแต่ทวีปยุโรปเหรอ ต้องใช้คำว่าอาจจะไม่หรอก ไทยแลนด์แดนอัศจรรย์ก็ได้เห็นมาบ้างแล้ว
“ฮือฮา! UFO บินโชว์กลางเมือง ยิงแสงเลเซอร์ทักทายชาวโลก”
“สาวอึ้ง! ถ่ายติดวัตถุประหลาดบนท้องฟ้า คล้าย UFO ในจังหวัดลพบุรี”
“แม่ค้าปลาเผาช็อก! เห็นแสงประหลาดบนท้องฟ้า เชื่อเป็น UFO”
อ้างอิงจากแหล่งข่าวหลากช่อง แค่เสิร์ชคำว่ายูเอฟโอในไทย คลิปวิดีโอถ่ายติดยานจานบินก็ขึ้นหรา
สหายในจักรวาล
แหงเลย! เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ไม่เคยพบเห็นแตกออก บ้างก็ว่านี่เรามาถึงยุคมนุษย์ต่างดาวให้โชคแล้วเหรอ บ้างก็ว่าจะประโคมข่าวให้ทุกอย่างที่เห็นบนท้องฟ้าเป็นยูเอฟโอไม่ได้ ของแบบนี้ต้องศึกษากันหน่อย
และวิชาที่จะพิสูจน์ได้คือวิทยาศาสตร์ แม้ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ทั้งหมดว่าสิ่งมีชีวิตอย่างเอเลียน หรือยานพาหนะประหลาดอย่างยูเอฟโอมีจริงแน่หรือเปล่า แต่วันที่ 2 กรกฎาคมก็ถูกตั้งให้เป็นวันยูเอฟโอโลกแล้วนะ ทั้งทฤษฎีสมคบคิดที่ชี้ว่าร่างสูงราวสองเมตรคงได้เดินปะปนกับเราเข้าสักวันหนึ่งก็ด้วย ลองนึกภาพดูสิ จักรวาลของเรามีดาวฤกษ์เกือบสองล้านล้านดวง และมีดาราจักรหลายอีกแสนล้าน นักวิทยาศาสตร์ใช้หลักการ Drake Equation เพื่อคำนวณจำนวนดาวเกิดใหม่ในกาแล็กซี จำนวนดาวเคราะห์ที่เหมาะกับการมีชีวิต โอกาสที่สิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้น ถึงจะเป็นการคำนวณโดยประมาณ แต่ก็ทำให้เห็นว่าชีวิตนอกโลกนั้นเป็นไปได้สูง ทั้งเรายังสร้างองค์กรเซติ (SETI) คอยค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากต่างดาว ตรวจจับสัญญาณด้วยกล้องวิทยุและเลเซอร์ เพื่อดักฟังข้อความจากเอเลียน
กลางเดือนสิงหาคม ปี 1997 ‘เจอร์รี่ อาร์ เอห์แมน’ นักดาราศาสตร์ผู้รับผิดชอบตรวจจับสัญญาณวิทยุจากจักรวาล เขากำลังนั่งเฝ้ากล้องวิทยุในรัฐโอไฮโอ รอบตัวเงียบสนิท มีเพียงเสียงคลื่นติ๊ดๆ จากวิทยุดังเป็นจังหวะ แต่แล้วจู่ๆ หน้าจอก็ปรากฏเส้นกราฟที่พุ่งสูงกว่าปกติ มันวิ่งพรวดพราดขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวมีสัญญาณส่งตรงมาจากกลุ่มดาว Sagittarius ดาวนักธนูครึ่งคนครึ่งม้า เจอร์รี่จ้องไปที่ตัวเลขและอักษรบนหน้าจอ ทุกอย่างผิดปกติ!
เจอร์รี่หลุดคำว่า Wow! ออกมา ก่อนจะรีบตวัดเขียนกราฟลงกระดาษ สัญญาณนั้นอยู่นาน 72 วินาทีแล้วก็ดับหายไป เมื่อถึงขั้นการตรวจสอบก็ไม่อาจหาที่มาได้ แม้จนในวันนี้ก็ตาม ทำให้โลกทั้งใบสงสัยว่าเรามีเพื่อนในจักรวาลจริงๆ ใช่ไหมนะ และเหตุการณ์นี้ถูกบันทึกเป็น‘Wow! Signal 1997’
พวกเราประหลาด
ระหว่างที่เกิดการระบาดใหญ่ของโรคโควิด 19 นักวิทยาศาสตร์พบว่าสถิติของการพบเห็นวัตถุบินที่ไม่อาจระบุตัวตนได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากทั่วสหรัฐ เป็นไปได้ว่าผู้คนถูกกักตัวอยู่ในบ้าน ว่างพอจนนั่งเฝ้ามองท้องฟ้าได้นานและละเอียดขึ้นด้วย สายตาหลายคู่ของคนเหล่านี้ที่คอยจับจ้องอยู่อาจเป็นหลักฐานชั้นดี ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ที่หัวหมุนในห้องแล็บ จนทำให้มีอะไรหลุดลอดสายตาไป
โดยเฉพาะในปี 2021 ที่มีผู้พบเห็นยูเอฟโอถึง 350 ราย เรียกได้ว่ามากโขกว่าเดิม จนช่วงเวลาดังกล่าวได้รับการขนานนาม ‘ยุคคลั่งยูเอฟโอครั้งใหม่’ รัฐบาลสหรัฐเริ่มรายงานประเมินความเสี่ยงภัยคุกคามจากยูเอฟโอ ไม่ก็ปรากฏการณ์ UAP ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ องค์กรนาซา (NASA) เองก็เพิ่งเริ่มตรวจสอบรายงานเหล่านี้อย่างจริงจังเมื่อไม่นานมานี้
นิ้วที่เราคอยชี้มนุษย์ต่างดาวว่าประหลาด อาจหมุนกลับเข้าหาตัวเอง เพราะไม่แน่หรอกว่ามนุษย์ต่างดาวก็มองเราประหลาดไม่ต่างกัน ถึงอย่างนั้น ประจักษ์พยานทั้งหลายแหล่ยังคงมีคำถามที่รอคำตอบอีกเป็นร้อยข้อ ทว่าก็ทำให้เรารู้แน่ชัดอยู่อย่างหนึ่ง
พวกเราน่ะ เป็นแค่มนุษย์ขนาดจิ๋วบนโลกใบจิ๋วของจักรวาลมหาศาล
โชคดีหน่อยนะที่ตอนนี้โรคระบาดจางลง เราเลยเห็นยูเอฟโอกันน้อยลง เพราะถ้าหากมีอีกระลอกเกิดขึ้น มือเรียวยาวของร่างสูงใหญ่ และมือสั้นจิ๋วของร่างเล็กอาจประสานจับทำความรู้จักเป็นสหายกัน อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้นี่จริงไหม“อยากเป็นเพื่อนกับเอเลียนไหม” คำถามที่นาซาไม่ได้ถาม