โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ตม.ยกระดับเซอร์วิส รักษาความมั่นคง ขับเคลื่อนไทยสู่ “Aviation Hub"

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 9 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รักษาสมดุล : ความมั่นคง vs. อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว

พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 หรือ ตม.2 สะท้อนบทบาทของ ตม. โดยเปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างง่ายดายว่า หากประเทศไทยคือ "บ้านหลังใหญ่" หรือ "ห้างสรรพสินค้า" ที่เปิดกว้างให้ผู้คนทั้งภายในและภายนอกเข้าออกได้ ตม. ก็คือ "ยามที่คอยเฝ้าประตู" ทำหน้าที่คัดกรองไม่ให้คนไม่ดีแฝงตัวเข้ามาก่อเหตุหรือสร้างความเดือดร้อนภายในบ้านของเรา นี่คือบทบาทสำคัญที่ ตม. แบกรับอยู่เสมอ คือการ "อำนวยความสะดวก" ในขณะเดียวกันก็ต้องรักษา "ความมั่นคง" ของประเทศเป็นหลัก

“มิติของเราเป็นมิติเรื่องของความมั่นคงเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม การจะยึดความมั่นคงอย่างเข้มงวดเกินไป จนเกิดแถวผู้โดยสารยาวเหยียด ก็อาจทำให้ไม่มีใครอยากเข้ามาจับจ่ายใช้สอยในบ้านเรา แต่หากผ่อนปรนมากเกินไป ปล่อยให้ใครเข้าออกตามสบาย ก็จะกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อกลุ่มโจรหรือคนร้ายได้ ดังนั้นบทบาทของ ตม. จึงเป็นการรักษาสมดุลระหว่างการดูแลนักท่องเที่ยวกับเรื่องของความมั่นคง”

ปัจจุบัน ตม. มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้บริการตรวจลงตรานักท่องเที่ยว ในสนามบินนานาชาติของประเทศทั้งสิ้น 16 แห่ง เฉพาะกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 รับผิดชอบสนามบินหลักถึง 5 แห่งภายใต้การดูแลของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, ภูเก็ต, เชียงใหม่ และหาดใหญ่ ส่วนสนามบินอื่นๆ ที่เหลือตามภูมิภาค เช่น บุรีรัมย์ สมุย สุราษฎร์ธานี หรือกระบี่ จะขึ้นตรงกับกรมท่าอากาศยาน หรือ กพท. และ ตม. ในพื้นที่นั้นๆ

พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี

สนามบินสุวรรณภูมิ เปรียบเสมือนประตูบ้านหลักของประเทศไทย ซึ่งมีปริมาณผู้เดินทางเข้าออกมากถึงประมาณ 120,000 กว่าคนต่อวัน โดยแบ่งเป็นการเดินทางเข้าประมาณ 60,000-70,000 คนต่อวัน และเดินทางออกในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน รองลงมาคือสนามบินดอนเมือง ซึ่งมีผู้เดินทางเข้าออกประมาณ 60,000-70,000 คนต่อวันเช่นกัน ตามด้วยภูเก็ตและเชียงใหม่ ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงภาระงานอันมหาศาลที่ ตม. ต้องแบกรับในแต่ละวัน

วิกฤตความแออัด: โจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้ไข

ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 เล่าถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ว่า นับตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2566 ซึ่งเป็นช่วงที่นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เข้ารับตำแหน่ง และมีนโยบายสำคัญเร่งด่วนคือการ "ยกระดับสนามบินของประเทศไทยให้เข้าสู่การเป็น Aviation Hub" สิ่งที่นายกฯ โฟกัสเป็นพิเศษคือปัญหาที่ ตม. กำลังเผชิญ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่า ก่อนปี 2566 เราประสบปัญหาความหนาแน่นของผู้โดยสารที่จุดตรวจคนเข้าเมืองอย่างมาก ทั้งขาเข้าและขาออก "ก็ล้น มีสภาพล้นออกมาจนถึงโถงทางเดินด้านนอก ที่เป็นบันไดเลื่อน" ท่านอธิบาย

โดยเฉพาะในช่วงเที่ยวบินหนาแน่น ซึ่งมีเครื่องบินขึ้นลงมากถึง 25-26 เที่ยวบินต่อชั่วโมง ผู้โดยสารสามารถทะลักเข้ามาได้ถึง 5,000-6,000 คนต่อชั่วโมง แต่ปัญหาคือ โถงตรวจคนเข้าเมืองมีพื้นที่จำกัด และลักษณะทางกายภาพของสนามบินสุวรรณภูมิที่เป็นอาคารยาว ทำให้ผู้โดยสารที่ลงจากเครื่องบินในหลุมจอดที่ไกลออกไป ต้องเดินตามทางเลื่อนมาถึงจุดตรวจ ตม. ซึ่งมีเพียง 3 โซน ทำให้เกิดการ "กระจุกตัว" อย่างรุนแรง เปรียบเทียบภาพให้เห็นชัดเจนว่า เหมือนน้ำทุกสายถูกอัดลงมาในท่อขนาดใหญ่ แต่พอมาถึงทางออก กลับมีรูระบายเพียง 3 รู ทำให้น้ำทะลักล้นออกมา

เมื่อได้รับโจทย์นี้มาผมก็ต้องมาคิดว่าทำยังไงก็ได้ให้ตรวจเร็ว เพื่อดึงดูดนักเดินทางต่างชาติให้มาใช้บริการประเทศไทยมากขึ้น จึงได้ทำการศึกษาปัญหาอย่างละเอียด และพบข้อจำกัดสำคัญดังนี้

1.ข้อจำกัดทางกายภาพ : การแก้ไขกายภาพด้วยการสร้างอาคารใหม่หรือปรับสภาพอาคารไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากอาคารสนามบินสุวรรณภูมิสร้างมาตั้งแต่ปี 2549 ด้วยขีดความสามารถรองรับสูงสุด 45 ล้านคนต่อปี แต่ในปี 2566 จำนวนผู้โดยสารกลับพุ่งสูงเกือบ 60 ล้านคน เกินขีดความสามารถที่ออกแบบไว้ไปมาก

2.ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและกฎหมาย : แม้หลายคนจะมองว่าควรใช้ระบบเทคโนโลยีแบบ Automated Gate เหมือนสนามบินชางกีของสิงคโปร์ ที่สามารถตรวจได้รวดเร็วและรองรับผู้โดยสารทุกชาติ แต่สำหรับประเทศไทย การปรับใช้ระบบอัตโนมัติแบบเต็มรูปแบบยังทำได้ยาก เนื่องจากมี เงื่อนไขทางกฎหมายที่แตกต่างกัน อีกทั้งประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงจากกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ การเปลี่ยนไปใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมดต้องใช้เวลาในการพัฒนาและปรับแก้กฎหมายเพื่อรองรับความมั่นคง

พลิกโฉมเพิ่มประสิทธิภาพ การตรวจลงตรา

จากข้อจำกัดข้างต้น ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 จึงสรุปว่า ทางออกเดียวที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว คือการเพิ่ม "กำลังพล" ท่านได้ร้องขอต่อท่านนายกรัฐมนตรีให้สนับสนุนกำลังพลเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถเปิดช่องตรวจได้เต็มทุกช่องในช่วงเวลาเที่ยวบินหนาแน่น ซึ่งได้รับอนุมัติให้รับบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ ตม. ได้ถึง 330 อัตรา การเพิ่มกำลังพลนี้มาทดแทนส่วนที่ขาดหายไปเกือบ 50% หรือประมาณ 600 คน ซึ่งเดิมส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องทำงานล่วงเวลาบ่อยครั้งและทำให้กำลังใจถดถอย ปัจจุบัน ตม.2 มีกำลังพลรวมเกือบ 2,000 คน ครอบคลุมสนามบินหลัก 5 แห่ง และถือว่ามีอัตรากำลังพลไม่ต่ำกว่า 80% เมื่อเทียบกับอัตราที่อนุญาต

นอกจากนี้ ยัง "ลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน" ในการตรวจลงตรา ลงถึง 5 รายการ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยเร่งความเร็วในการตรวจผู้โดยสาร

  • ยกเลิกการสแกนลายนิ้วมือ/ใบหน้าสำหรับคนไทย : เดิมคนไทยต้องสแกนลายนิ้วมือและเก็บภาพใบหน้า แต่เมื่อพิจารณาแล้วพบว่าข้อมูลของคนไทยมีอยู่ในฐานข้อมูลหนังสือเดินทางอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทำซ้ำอีก การยกเลิกขั้นตอนนี้ช่วยให้คนไทยผ่านด่านได้เร็วขึ้น และช่วยให้มีเคาน์เตอร์ว่างสำหรับตรวจคนต่างชาติได้มากขึ้น
  • ยกเลิกการตรวจสอบ Boarding Pass : เดิมผู้โดยสารต้องแสดงหรือสอดบัตรที่นั่งเข้าเครื่อง ซึ่งทำให้ไม่สะดวกและเสียเวลาหากบัตรหาย ปัจจุบัน ตม. ได้เชื่อมโยงระบบกับ Advance Passenger Processing System (APPS) ซึ่งจะแสดงข้อมูลบุคคลต้องห้ามขึ้นมาในระบบของ ตม. ทันทีที่ผู้โดยสารเช็คอิน ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่ต้องตรวจสอบ Boarding Pass อีกต่อไป การปรับแก้โปรแกรมนี้ไม่ต้องใช้งบประมาณ และลดขั้นตอนลงได้อย่างมหาศาล

ผลลัพธ์จากการดำเนินการแก้ไขปัญหาเหล่านี้เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง ผู้บังคับการฯ ได้ทำการจับเวลาและพบว่า เวลาที่ผู้โดยสารใช้ตั้งแต่เข้าสู่โถง ตม. จนถึงหน้าช่องตรวจ ลดลงจากประมาณ 45 นาที เหลือเพียง "ไม่เกิน 20 นาที" ในช่วงเวลาที่มีความหนาแน่นสูงสุด และยังคงรักษา KPI นี้ไว้ได้

นอกจากนี้ ยังมีการบริหารจัดการพื้นที่ (Zone Management) เพื่อเกลี่ยผู้โดยสารให้กระจายตัวอย่างสมดุล เช่น หากโซนใดเริ่มหนาแน่น จะมีการปิดโซนและแนะนำให้ผู้โดยสารเดินไปยังโซนอื่นที่ว่างกว่า โดยมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก เพื่อให้การระบายผู้โดยสารเป็นไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง

อีกหนึ่งความก้าวหน้าที่สำคัญคือ การปรับปรุงและขยาย "ช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Automatic Passport Channels)" รุ่นใหม่ โดยได้แนวคิดมาจากสนามบินชางกี ซึ่งเดิมเครื่องหนึ่งสามารถระบายผู้โดยสารได้เพียง 2 คนต่อนาที แต่ปัจจุบันสามารถระบายได้ถึง 4 คนต่อนาที และที่สำคัญคือ ช่องอัตโนมัติขาออกได้ถูกขยายให้ "ชาวต่างชาติทุกสัญชาติสามารถใช้งานได้" จากเดิมที่มีเพียง 16 เครื่อง ตอนนี้ขยายเป็นเกือบ 60-70 เครื่องแล้ว ทำให้การระบายผู้โดยสารขาออกเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว

ทั้งในระยะยาวตม.ก็มีแผนจะดำเนิน “โครงการ Thailand Immigration System (TIS)" ซึ่งเป็นโครงการพัฒนา ระบบหลังบ้านของ ตม. ให้ทำงานแบบเบ็ดเสร็จทั้งระบบ ด้วยงบประมาณสูงถึงเกือบ 3,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจคนเข้าเมือง และยกระดับการให้บริการ ซึ่งจะพลิกโฉมการให้บริการของ ตม. ให้รวดเร็วและมีความแม่นยำในการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลมากยิ่งขึ้น

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ฐานเศรษฐกิจ

BEARRUNRUN แนะใช้ “AI” สร้างกลยุทธ์ฝ่าวิกฤตการแข่งขัน

35 นาทีที่แล้ว

ท่องเที่ยวครึ่งปีแรก บิ๊กสายการบิน-โรงแรม ฝ่าแนวต้านต่างชาติเที่ยวไทยหด ยังโกยกำไร

35 นาทีที่แล้ว

แผ่นดินไหววันนี้ สมาคมวิศวกรโครงสร้างฯ ทำไม ไทย ได้รับแรงสะเทือน

48 นาทีที่แล้ว

มติเอกฉันท์ ตั้ง ‘ฉัตรชัย ศิริไล’ นั่งตำแหน่งประธานสมาคมแบงก์รัฐ

53 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่นๆ

เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เวียดนาม แซงหน้า ไทยติดหล่มเกมการเมือง

Amarin TV

รัฐมนตรีพาณิชย์ชี้ FTA ไทย-EU คือภารกิจสำคัญสูงสุด เชื่อช่วยเปิดโอกาสทางการค้าและการลงทุน

การเงินธนาคาร

“ฉัตรชัย” คุมสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ

AEC10NEWs

CH เจรจาลูกค้ารับมือภาษีทรัมป์ ขยายฐานใหม่ โซนยุโรป และเอเชีย

TNN ช่อง16

'อรรถกร' เร่งเจรจาจีนรับมือมาตรการอาจสุ่มตรวจสารซัลเฟอร์ลำไยจากไทย

ประชาชาติธุรกิจ

ครั้งแรก จีนเปิดทาง ใช้ "สเตเบิลคอยน์" ผูก "เงินหยวน" หนุนใช้งานเงินหยวนในระดับโลก

TNN ช่อง16

ธอส. รับรางวัล ผู้สนับสนุนการดำเนินงาน ของสำนักงาน ปปง.

หุ้นวิชั่น

“DIT” บังคับเข้ม! โรงงานอาหารสัตว์ต้องรับซื้อข้าวโพดในประเทศ ก่อนขอโควตานำเข้า

อีจัน

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...