ครม. อนุมัติงบ 1.85 หมื่นล้านบาท รับมือภาษีทรัมป์ มุ่งยกระดับขีดความสามารถแข่งขัน-พัฒนาทุนมนุษย์
ครม. อนุมัติงบเพิ่มอีก 1.85 หมื่นล้านบาท ภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจกรอบวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท (ซึ่งเดิมเตรียมไว้ใช้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต) โดยเม็ดเงินรอบนี้มุ่งการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาทุนมนุษย์
วันนี้ (5 สิงหาคม) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ ‘ข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ 2’ อีก 18,488 ล้านบาท ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท (ข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ)
พิชัยกล่าวอีกว่า งบประมาณรอบนี้มุ่งให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้พร้อมรับมือการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ และเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ในกลุ่มนักเรียนหรือนักศึกษา ซึ่งจะเป็นการรองรับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัวในปี 2568 และเป็นการวางรากฐานการเติบโตของประเทศในระยะยาว
โดยงบประมาณรอบนี้จะแบ่งไปใช้ใน 2 โครงการ ดังนี้
โครงการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย
หน่วยงานดำเนินโครงการ: กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
- วัตถุประสงค์: เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้พร้อมรับมือการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลก ดึงดูดและรักษาการลงทุนจากผู้ประกอบการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายด้วยการบรรเทาผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และมาตรการภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) และส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สร้างมูลค่าเพิ่มถ่ายทอดเทคโนโลยี และพัฒนาบุคลากร โดยในระยะสั้น สนับสนุนพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมใหม่ และในระยะยาว สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาบุคลากร และการลงทุนเพื่อยกระดับขีดความสามารถ
- กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) และผู้ลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
- งบประมาณ: 10,000 ล้านบาท โดยจัดสรรให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำหรับกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
โครงการการลงทุนพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อรองรับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยอาจชะลอตัวในปี 2568
หน่วยงานดำเนินโครงการ: กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
- วัตถุประสงค์:เพื่อให้เงินกู้ยืมที่เป็นค่าครองชีพและค่าเล่าเรียน รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการครองชีพระหว่างศึกษา สำหรับนักเรียน/นักศึกษาที่เป็นผู้กู้ยืมเงินรายใหม่/ผู้กู้ยืมเงินรายเก่า ซึ่งจะทำให้นักเรียน/นักศึกษาได้ศึกษาอย่างต่อเนื่อง ไม่พักการศึกษาหรือเลิกการศึกษาในปีการศึกษา 2568
- กลุ่มเป้าหมาย: นักเรียน/นักศึกษาที่เป็นผู้กู้ยืมเงินรายใหม่/ผู้กู้ยืมเงินรายเก่า รวมจำนวน 139,481 ราย
- งบประมาณ: 8,488.3679 ล้านบาท
- วัตถุประสงค์:เพื่อให้เงินกู้ยืมที่เป็นค่าครองชีพและค่าเล่าเรียน รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการครองชีพระหว่างศึกษา สำหรับนักเรียน/นักศึกษาที่เป็นผู้กู้ยืมเงินรายใหม่/ผู้กู้ยืมเงินรายเก่า ซึ่งจะทำให้นักเรียน/นักศึกษาได้ศึกษาอย่างต่อเนื่อง ไม่พักการศึกษาหรือเลิกการศึกษาในปีการศึกษา 2568
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ) ได้มีมติ ‘ชะลอ’ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งรัฐบาลได้กันงบประมาณไว้ 1.57 แสนล้านบาทออกไป โดยต่อมาในเดือนมิถุนายน รัฐบาลประกาศว่า จะนำเงินภายใต้โครงการนี้ จำนวน 115,000 ล้านบาท ไปใช้จ่ายในโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รวมไปถึงโครงการน้ำ ภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัล ไปจนถึงภาคการท่องเที่ยว
ดังนั้น เมื่อวันนี้ ครม. อนุมัติงบอีก 1.85 หมื่นล้านบาท เพื่อยกระดับขีดความสามารถแข่งขัน และพัฒนาทุนมนุษย์ จึงทำให้เหลืองบประมาณจากงบก้อน 1.57 แสนล้านบาทนี้ เหลืออีกราว 2.3 หมื่นล้านบาท
งบรอเคาะอีก 2 หมื่นล้านบาท ยังไม่ได้ข้อสรุป
ด้าน จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า ยังไม่มีข้อสรุปสำหรับงบประมาณอีกกว่า 2 หมื่นล้านบาทที่ยังเหลืออยู่ โดยชี้ว่าต้องรอประชุมอีกทีว่าจะทำอย่างไรต่อไป
จะนำไปใช้เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ หรือไม่นั้น จุลพันธ์ชี้ว่ายังต้องรอกระบวนการ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์เบื้องต้นออกมา
โดยจุลพันธ์มองว่าข้อตกลงที่ประกาศมาช่วยให้สถานการณ์มีความชัดเจนมากขึ้น และอัตราภาษี 19% ก็ค่อนข้างเป็นประโยชน์กับไทย ซึ่งไทยยังสามารถคุ้มครองภาคการเกษตรได้ในบางกลุ่มสินค้า แม้จะมีการเปิดตลาดหลายส่วน
ภาพ:Kampan / Shutterstock