AOT ร่วง 2% หลังยืดจ่ายค่าตอบแทน “คิง เพาเวอร์” 3 สัญญาดิวตี้ฟรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(27 มิ.ย.68) ราคาหุ้นบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ณ เวลา 10:18 น. อยู่ที่ระดับ 30.50 บาท ลบ 0.75 บาท หรือ 2.40% ราคาต่ำสุด 30.50 บาท ราคาสูงสุด 31.25 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 295.06 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ว่า ยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT พร้อมเป้าหมายราคา 33.50 บาทต่อหุ้น โดยระบุว่าหนี้ค้างจ่ายจากการขยายสัญญาครั้งใหม่นี้จะไม่เกิน Bank Guarantee
โดย ณ ไตรมาส 2 ปีงบประมาณ 2568 (2QFY25) มูลค่ายอดหนี้ค้างชำระ (Deferred Payment) ที่แสดงอยู่ในงบการเงินในหมวดลูกหนี้การค้าไม่หมุนเวียน (Non-current Trade Accounts Receivable) อยู่ที่ 6.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2.0 พันล้านบาทเมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2567 (FY24) ทั้งนี้ บริษัทฯคาดการณ์ว่ายอดนี้จะเพิ่มสูงถึง 1.25 หมื่นล้านบาทภายในสิ้นเดือนตุลาคม 2568
บล.เมย์แบงก์ฯ ประเมินอีกว่า ยอดหนี้ค้างชำระที่ KPD ต้องชำระจะไม่เกินวงเงินรับรองของธนาคารที่มีมูลค่าประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท บวกกับหลักประกันเพิ่มเติม 1.45 พันล้านบาท หรือรวมเป็น 1.34 หมื่นล้านบาท
แม้จะมีความกังวลเรื่องผลกระทบทางการเงินต่อ AOT แต่เชื่อว่า ความล่าช้าในการรับชำระเงินนี้จะไม่ส่งผลให้ต้องตั้งสำรอง (Provision) ใด ๆ เพราะยอดคงค้างทั้งหมดจะได้รับการคุ้มครองโดยธนาคารผู้ค้ำประกันอย่างครบถ้วน
อนึ่ง AOT แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2568 ว่า คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) เข้าร่วมโครงการขยายระยะเวลาชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบภาวะขาดสภาพคล่อง จากวิกฤตเศรษฐกิจและผลกระทบต่อเนื่องหลังโควิด-19 รวมถึงเหตุการณ์ความไม่สงบในหลายพื้นที่ทั่วโลกให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
สำหรับโครงการดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยรักษาฐานผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์และสายการบินที่มีศักยภาพ แต่ประสบภาวะขาดสภาพคล่อง ณ ท่าอากาศยานในสังกัดทั้ง 6 แห่งของ ทอท.
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวครอบคลุมสัญญาสัมปทาน 3 ฉบับ ได้แก่ 1. สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) 2. สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) และ และ 3. สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้า ปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.)
โดยให้ KPD แบ่งชำระและเลื่อนกำหนดชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ออกไปอีกงวดละ 8 เดือน สำหรับงวดดังต่อไปนี้
สำหรับสัญญาสัมปทานทั้ง 3 ฉบับที่ดำเนินกิจการอยู่ในท่าอากาศยานของ ทอท. โดยเริ่มจากสัญญาจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ที่สามารถเลื่อนชำระได้ตั้งแต่งวดเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม 2568 ยกเว้นเฉพาะงวดเดือนมิถุนายน ซึ่งอนุญาตให้เลื่อนชำระออกไปได้ 6 เดือนเท่านั้น
สำหรับสัญญาจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) จะได้รับสิทธิเช่นเดียวกันในช่วงงวดเดือนกันยายนถึงตุลาคม 2568 ขณะที่สัญญาจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.), เชียงใหม่ (ทชม.) และหาดใหญ่ (ทหญ.) จะครอบคลุมงวดเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม 2568
ทั้งนี้ KPD จะต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 8.8440 ต่อปี หรือเทียบเท่ากับอัตรา MLR+2 สำหรับยอดเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่เลื่อนชำระในแต่ละงวด โดยต้องชำระเป็นรายเดือนให้แก่ ทอท. ตลอดระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติเลื่อนการชำระ
นอกจากนี้ ทอท.กำหนดให้ KPD นำหลักประกันมาวางเพิ่มเติมรวมมูลค่า 1,450 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทั้ง 3 สัญญา เพื่อให้ครอบคลุมยอดค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ KPD ได้รับอนุมัติให้เลื่อนชำระ พร้อมดอกเบี้ย ซึ่งถือเป็นหลักประกันทางการเงินของคู่สัญญาในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด
ทอท. ยังย้ำว่า สถานะการเงินของบริษัทฯ ยังแข็งแกร่งและมีสภาพคล่องเพียงพอ รองรับแผนลงทุนในอนาคต โดยการขยายเวลาชำระเงินในครั้งนี้ไม่กระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของบริษัท
ทั้งนี้ หากดูผลประกอบการของ คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ในช่วงที่ผ่านมา ระหว่างปี 2563-2567 พบว่า ในปี 2563 ขาดทุนสุทธิ 1,833.18 ล้านบาท , ในปี 2564 ขาดทุนสุทธิ 2,814.49 ล้านบาท,ในปี 2565 มีกำไรสุทธิ 3,751.83 ล้านบาท , ในปี 2566 ขาดทุนสุทธิ 651.51 ล้านบาท และในปี 2567 ขาดทุนสุทธิ 937.77 ล้านบาท