คนไทยสะเทือนแค่ไหน? เมื่อสินค้าสหรัฐ 10,000 รายการไม่มีภาษี
แล้ว!! ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จะได้รับผลกระทบกันอย่างไร? ทีม "เศรษฐกิจ เดลินิวส์" พาไปสแกนให้เห็นกันชัด ๆ
การเปิดเสรีสินค้ากว่า 10,000 รายการ แยกเป็น
- กลุ่มแรก… กว่า 6,000 รายการ หรือประมาณ 60% เป็นสินค้าที่ไทยเปิดเสรีให้สหรัฐ 0% อยู่แล้ว และส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไทยเปิดเอฟทีเอให้กับประเทศอื่น ทั้งจีน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ผักผลไม้ สินค้าเกษตรบางรายการ เป็นต้น
- กลุ่มที่สอง…กว่า 2,000 รายการ หรือประมาณ 20% เป็นสินค้าที่ไทยเปิดภาษี 0% เพิ่มเติมให้สหรัฐ แต่เป็นสินค้าที่ไทยไม่ได้รับผลกระทบ หรือเป็นสินค้าที่สหรัฐ แทบไม่มีโอกาสส่งออกมาไทย เช่น ปลานิล ลำไย รถฮาร์เลย์ เดวิดสัน เป็นต้น
- กลุ่มที่สาม… สินค้าที่ไทยจะเปิดเสรีให้กับสหรัฐ แต่เป็นแบบมีเงื่อนไข ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อกำหนดเงื่อนไข โดยมีสินค้าที่ไทยผลิตอยู่และอาจต้องอาศัยเวลาปรับตัว เช่น
ตัวอย่างสินค้าที่เปิดเพิ่ม
- เนื้อหมู อาจมีกำหนดโควตา 10,000 ตันต่อปี หรือคิดเป็น 1% ของการบริโภคในประเทศ พร้อมกับกำหนดเงื่อนไข เช่น ห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดง การห้ามนำเข้าเครื่องใน
- ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไทยมีความต้องการนำเข้า 3.5-4 ล้านตันต่อปี อาจจำกัดโควตาเพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาในประเทศ
- กากถั่วเหลือง ไทยมีความต้องการนำเข้า 3.5 ล้านตันต่อปี อาจจำกัดโควตาเพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาในประเทศ
หมายเหตุ… ในกลุ่มนี้อาจมีการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม เพื่อปกป้องเกษตรกร และผู้ผลิต เอสเอ็มอี แต่ต้องรอฟังผลการหารือเกณฑ์ โลคอล คอนเทนท์ และกฎอาร์วีซี ที่เกี่ยวกับถิ่นกำเนิดสินค้าที่กำลังเจรจาและประกาศออกมาภายหลัง
ต้องยอมรับว่า…ดีลภาษีตอบโต้ในครั้งนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ทั้งในส่วนของผู้ส่งออก ทั้งผู้ผลิตในประเทศ เกษตรกร หรือแม้แต่บรรดาผู้บริโภคชาวไทยเอง
@ ภาคการเกษตร
- ข้าวหอมมะลิ ผู้ส่งออกข้าวยังต้องเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้นต่อไป เนื่องจากไทยส่งออกข้าวมะลิไปสหรัฐ 6 แสนตัน แม้จะมีภาษีใกล้กับอาเซียน แต่ขณะนี้เวียดนามขายข้าวถูกกว่าไทย โดยขายเพียง 600-700 ดอลลาร์ต่อตัน ส่วนไทยตั้งราคาขาย 900-1,200 ดอลลาร์ต่อตัน
[* ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ชาวไร่ข้าวโพดในประเทศ โดยเฉพาะชาวไร่บนพื้นที่ภูเขา อาจต้องปรับเปลี่ยนอาชีพ เพราะได้รับผลกระทบจากราคาที่ถูกลงจากสหรัฐ แม้ว่าปัจจุบันปริมาณปลูกข้าวโพดในไทยยังไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ในประเทศก็ตาม , * ถั่วเหลือง ชาวไร่ถั่วเหลืองอาจได้รับผลกระทบจากการแข่งขันราคาที่ถูกลง เพราะสินค้าที่นำเข้ามาจากสหรัฐ จะไม่มีภาษี , * เนื้อหมู อุตสาหกรรมเนื้อหมูในไทยมีมูลค่ามากถึง 1.5 แสนล้านบาท หากเปิดให้สหรัฐนำเข้ามา บรรดาเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูย่อมได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะต้นทุนหมูสหรัฐต่ำกว่าไทยมาก โดยมีต้นทุนประมาณ กก.ละ 55\-60 บาท ขณะที่ต้นทุนการเลี้ยงหมูในไทยสูงถึงกก.ละ 75 บาท , * ธุรกิจอาหารแปรรูป ผู้ผลิตอาหารแปรรูป เช่น กุ้ง และปลาทูน่า ที่พึ่่งพาการส่งออกตลาดสหรัฐถึง 39% หากถูกเก็บภาษี 19% จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นแน่ ก็จะสูญเสียโอกาสทางการแข่งขัน , * ผลิตภัณฑ์ยางไทย ต้องแข่งสูง เพราะพึ่งตลาดสหรัฐ 31.6% โดยมีมาเลเซียเป็นคู่แข่งสำคัญ ]
@ ภาคอุตสาหกรรม
- คอมพิวเตอร์ และส่วนประกอบ : มีความเสี่ยงถูกเก็บภาษีมากถึง 40% เพราะเป็นสินค้าที่ไทยมีโลคอล คอนเทนท์ในประเทศต่ำ พึ่งการนำเข้าสูง
[ * ยานยนต์และชิ้นส่วน: อุตสาหกรรมนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูง เนื่องจากไทยมีการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนไปยังสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก ที่สำคัญยังมีการใช้โลคอล คอนเทนท์ต่ำ , * เครื่องจักรกลและชิ้นส่วน: ทั้งเครื่องจักรกลสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตและเครื่องจักรกลการเกษตร , * อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า: โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ , * เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก รวมถึงอลูมิเนียม : สินค้าเหล็กจากจีนมีราคาถูกกว่ามาก ทำให้ผู้ผลิตในไทยต้องเสียเปรียบอย่างหนัก อีกทั้งยังเป็นสินค้าพิเศษที่สหรัฐเก็บภาษีเพิ่มเติมจากทั่วโลก , * พลาสติกและเคมีภัณฑ์: เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่จีนมีกำลังการผลิตสูงและสามารถส่งออกในราคาต่ำ , * เฟอร์นิเจอร์: สินค้าเฟอร์นิเจอร์จากจีนมีราคาถูกและหลากหลาย ทำให้เป็นที่นิยมของผู้บริโภค , * สิ่งทอและเสื้อผ้า: สินค้าจากจีนมีราคาถูกกว่า ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อแข่งขัน ]
ผลกระทบเอสเอ็มอี
- ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 2 ล้านราย ซึ่งส่วนใหญ่มีการค้าขายกับสหรัฐผ่านอีคอมเมิร์ซ เช่น กลุ่มสินค้าแม่และเด็ก เสื้อผ้า ได้รับผลกระทบ เนื่องจากถูกเก็บภาษีเดอ มินิมิส เพิ่มเติมจากสหรัฐ จากเดิมได้รับการยกเว้นสำหรับสินค้าราคาไม่เกิน 800 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตามดีลภาษีตอบโต้ ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องของการเสียเปรียบหรือเสียประโยชน์ เพราะยังมีโอกาสที่ดีให้กับผู้บริโภคชาวไทยเป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
ประโยชน์ที่ไทยได้รับ
- ภาษีที่ 19% ทำให้ไทยแข่งขันได้กับประเทศอื่น ช่วยรักษาสถานะภาพการส่งออก การลงทุน และการจ้างงานไว้
[ * ผู้บริโภคมีโอกาสเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น เช่น ผัก ผลไม้เมืองหนาว จากสหรัฐฯ เพราะจะเสียภาษี 0% , * ต้นทุนการเลี้ยงไก่เนื้อ ไก่ไข่ หมู วัว ลดลง โดยประมาณการผลจากการลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ 6 ชนิด เช่น ข้าวโพด กากถั่ว ทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลงไป 12,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ ทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องถูกผลักภาระถึง 9 พันกว่าล้านบาท , * ผู้ผลิตอาหารสัตว์ได้ประโยชน์ในต้นทุนการผลิตที่ถูกลง และสามารถผลิตเพื่อส่งออกได้เพิ่มมากขึ้น ]
อย่างไรก็ตามแม้จะมีการประกาศอัตราภาษี19% แล้ว แต่ยังไม่มีการสรุปข้อกำหนดสัดส่วนมูลค่าเพิ่มในภูมิภาค หรือ Regional Value Content (RVC) ที่ชัดเจนสำหรับการแก้ปัญหาสินค้าสวมสิทธิแหล่งกำเนิดสินค้า แม้เบื้องต้นอาจใช้เกณฑ์ทั่วไปที่กำหนดสัดส่วน Local content ประมาณ 40% ไปก่อน แต่ทีมไทยแลนด์ยังต้องเร่งเจรจากับสหรัฐให้ตกลงกันให้ได้โดยเร็ว เพราะไม่เช่นนั้นคลื่นระลอกที่ 2 กับภาษีสวมสิทธิ์ ออนท็อป ที่ 40% ก็ยังกลายเป็นลูกดอกลูกที่ 2 ที่ทำให้เอกชนไทยยังทำใจไม่ได้!!