CAAT เดินหน้ายกระดับการบินไทยสู่ Aviation Hub ชี้อุตสาหกรรมการบินกำลังกลับมาเจริญเติบโต
CAAT แถลงผลการดำเนินงานในช่วง 5 เดือน ถึงสถานการณ์ของอุตสาหกรรมการบินไทยในปัจจุบัน ซึ่งมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง และได้วางทิศทางเชิงรุกเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค (Aviation Hub) ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2568 ประเทศไทยมีผู้โดยสารทางอากาศราว 72.68 ล้านคน เป็นผู้โดยสารเส้นทางภายในประเทศ 33.37 ล้านคน เส้นทางระหว่างประเทศ 39.31 ล้านคน และมีเที่ยวบินรวมราว 467,000 เที่ยวบิน แม้จำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 อยู่ 13.11% แต่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากตลาดหลัก ได้แก่ ยุโรป เอเชียใต้ และอินเดีย สำหรับตลาดจีน แม้จะยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ เนื่องจากความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนไป เน้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ แต่ CAAT อยู่ระหว่างหารือกับทางการจีนเพื่อผ่อนผันการใช้สิทธิ Slot ให้เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สายการบินของไทยสามารถนำอากาศยานไปให้บริการในตลาดสำคัญอื่น ๆ ชั่วคราว เพื่อชดเชยการชะลอตัวของตลาดจีน
วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เผยว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมการบินกำลังกลับมาเจริญเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และมีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน หน่วยงานกำกับดูแลจึงต้องเร่งพัฒนาให้ระบบการบินของไทยมีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน มาตรฐานความปลอดภัย และบริการ เพื่อรองรับบทบาท Aviation Hub อย่างเป็นรูปธรรม โดยช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา CAAT ได้ดำเนินการอนุญาตและกำกับดูแลกิจการการบินในหลายด้านสำคัญ เช่น การออกใบรับรองสนามบินสาธารณะให้กับท่าอากาศยานพิษณุโลก สมุย และกระบี่ รวมทั้งออกใบอนุญาตประกอบกิจการการบินพลเรือนประเภทการขนส่งทางอากาศเพื่อการพาณิชย์แบบประจำมีกำหนด (AOL) ให้สายการบินใหม่ 2 ราย คือ บริษัท อินทิรา (2009) แอร์ และบริษัท สยามวิงส์ แอร์ไลน์ จำกัด และออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ (AOC) ให้แก่ EZY Airlines ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการเดินอากาศรายใหม่
ด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมการบิน CAAT ได้จัดทำแผนปฏิบัติการเร่งด่วน (Quick Win Action Plan) ขับเคลื่อนใน 2 ช่วงหลัก ได้แก่: ช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค. – มิ.ย.) มุ่งส่งเสริมธุรกิจเครื่องบินส่วนบุคคล (Private Jet) ทบทวนเกณฑ์อายุและมาตรฐานการใช้งานอากาศยาน ส่งเสริมให้เกิด Urban Traffic Management (UTM) รวมทั้งส่งเสริมการเจรจาเพื่อเปิดเส้นทางบินตรงสู่สหรัฐอเมริกา ภายหลังไทยได้รับคืนสถานะ FAA CAT1 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ช่วงครึ่งปีหลัง (ก.ค. – ธ.ค.) มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการบิน เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาค ส่งเสริมและสนับสนุนศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ที่สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และภูเก็ต พร้อมยกระดับกระบวนการอนุญาตด้วยเทคโนโลยี เช่น ระบบ Fast Track และส่งเสริมการให้บริการเครื่องบินน้ำ หรือ Sea Plane รวมถึงการจัดตั้งสนามบินน้ำ (Water Aerodromes)
พลอากาศเอก มนัท กล่าวว่า CAAT ยังเตรียมความพร้อมเพื่อรับการตรวจประเมินจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ในโครงการ Universal Safety Oversight Audit Programme Continuous Monitoring Approach (USOAP CMA) ช่วงปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายนนี้ โดยจะมีการตรวจประเมินในด้านต่างๆ เช่น มาตรฐานสนามบิน ความสมควรเดินอากาศ การปฏิบัติการบิน การบริการการเดินอากาศ ฯลฯ ทั้งในสำนักงานและการลงพื้นที่หน่วยงานต่างๆ ในการกำกับดูแลของ CAAT เพื่อประเมินประสิทธิภาพของระบบกำกับดูแลความปลอดภัยด้านการบินของประเทศ ทั้งนี้ หากประเทศไทยได้รับคะแนนสูงจากการตรวจของ ICAO จะช่วยเสริมความเชื่อมั่นจากสายการบิน นักลงทุน และผู้โดยสารทั่วโลก อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสในการเปิดเส้นทางบินใหม่ และยกระดับภาพลักษณ์ความปลอดภัยด้านการบินของไทยในเวทีนานาชาติ
นอกจากนี้ CAAT ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น การผลักดันระบบบริหารจราจรอากาศยานไร้คนขับ (UTM) การจัดตั้งเขตห้วงอากาศเฉพาะสำหรับอากาศยานไร้คนขับ ส่งเสริมการใช้ห้วงอากาศระดับต่ำ ส่งเสริมการใช้งานโดรนในภาคส่วนต่างๆ เช่น โลจิสติกส์ เกษตรกรรม และการตรวจตรา รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมโดรนในอนาคต และ CAAT ได้จัดทำเอกสารแนวทางการกำกับดูแลการให้บริการอากาศยานขึ้นลงทางดิ่งไฟฟ้า (eVTOL) และอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (UAS) ฉบับแรกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อเป็นกรอบความร่วมมือในการพัฒนาและควบคุมเทคโนโลยี AAM อย่างเป็นระบบและปลอดภัย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดงาน ICAO AAM Symposium ในปี พ.ศ. 2569 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่งานสำคัญระดับโลกนี้จะจัดขึ้นในเอเชีย สะท้อนถึงบทบาทเชิงรุกของประเทศไทยในการขับเคลื่อนอนาคตของการบินและการขนส่งทางอากาศในภูมิภาค
พลอากาศเอก มนัท กล่าวว่า ด้วยบทบาทของอุตสาหกรรมการบินในฐานะกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และความมั่นคงของประเทศ CAAT ยังคงมุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลและส่งเสริมการพัฒนาในทุกมิติ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความปลอดภัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคอย่างยั่งยืนในอนาคต