ไทยปิดดีลภาษีทรัมป์ที่19% อยู่ตรงไหนเทียบอาเซียนและคู่แข่งภูมิภาคอื่น?
หลังจากการเจรจาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้รอบแรกเมื่อเดือนเมษายน เช้าวันนี้ (1 ก.ค. ตามเวลาไทย) สหรัฐฯ ได้ประกาศอัตราภาษีรอบใหม่ โดยประเทศไทยสามารถต่อรองลดอัตราภาษีจากเดิม 36% ให้เหลือ 19% ได้สำเร็จ
คำสั่งฝ่ายบริหารที่ลงนามโดยทรัมป์ระบุว่า สหรัฐฯ จะเริ่มใช้ภาษีนำเข้าใหม่กับประเทศคู่ค้าตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมเป็นต้นไป โดยปรับขึ้นจากอัตราพื้นฐาน 10% ไปเป็นอัตราที่แตกต่างกันตามแต่ละประเทศ ขณะที่ประเทศที่ไม่อยู่ในรายชื่อจะยังคงถูกเรียกเก็บที่ 10% ตามเดิม
หากพิจารณาผลรวมทั้งหมด ทั้งอัตราภาษีใหม่ที่เตรียมมีผลใน 7 วัน และข้อตกลงเกี่ยวกับรถยนต์กับสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ อัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นเป็น 15.2% จากระดับ 13.3% ในปัจจุบัน และถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับ 2.3% ในปี 2567
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ สหรัฐฯ เตรียมเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 40% กับสินค้าที่เข้าข่าย “เปลี่ยนเส้นทางการขนส่ง” (transshipment) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า แม้คำสั่งดังกล่าวยังไม่ให้คำจำกัดความชัดเจน โดยกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ จะจัดทำบัญชีรายชื่อประเทศต้องสงสัย และเผยแพร่ทุก 6 เดือน
ในบทความนี้ SPOTLIGHT สรุปให้ครบว่า ประเทศใดถูกเก็บภาษีเท่าไร และประเทศไทยอยู่ในระดับใดเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านและคู่แข่งหลักในภูมิภาค
ภาษีนำเข้าสินค้าไทยอยู่ในระดับแข่งขันได้เมื่อเทียบกับประเทศอาเซียน
ตามคำสั่งฝ่ายบริหารล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สินค้าจากประเทศไทยที่จะนำเข้าสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 19% ซึ่งนับว่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับ 36% เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยอัตรา 19% นี้เทียบเท่ากับที่ประเทศอาเซียนส่วนใหญ่ได้รับ เช่น กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ขณะที่เวียดนาม ซึ่งบรรลุข้อตกลงไปก่อนหน้านี้ ได้อัตราสูงกว่าเล็กน้อยที่ 20%
ในอีกด้านหนึ่งเมียนมาและลาวถูกสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีในระดับสูงที่สุดในภูมิภาค โดยต้องเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 40% ซึ่งถือเป็นอัตราสูงเป็นอันดับสองของโลก รองจากซีเรียที่ถูกเก็บภาษี 41% ตามบัญชีอัตราที่เผยแพร่โดยทำเนียบขาว ส่วนบรูไนถูกเรียกเก็บที่ 25% ซึ่งสูงกว่าเวียดนามเล็กน้อย
สำหรับประเทศที่ได้อัตราภาษีต่ำที่สุดในกลุ่มอาเซียนคือสิงคโปร์ ซึ่งไม่ถูกรวมอยู่ในรายชื่อประเทศเป้าหมายของคำสั่งฝ่ายบริหาร ทำให้ยังคงใช้อัตราภาษีพื้นฐาน 10% เช่นเดิม โดยนายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่องของสิงคโปร์ให้ความเห็นเมื่อต้นสัปดาห์ว่า “แน่นอนว่าเราต้องการให้ไม่มีภาษีเลย แต่หากเป็นอัตราพื้นฐาน ก็หมายความว่าเราอยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุด ซึ่งเรายอมรับได้ เรายังสามารถทำธุรกิจต่อไปได้ และยังมีโอกาสอีกมากในการค้าขายกับสหรัฐฯ”
การลดอัตราภาษีของไทยลงมาอยู่ที่ระดับเดียวกับเพื่อนบ้าน จึงนับเป็นความคืบหน้าในทิศทางบวก และทำให้สินค้าไทยยังคงสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ได้ภายใต้กติกาใหม่ที่เข้มงวดมากขึ้น
เศรษฐกิจใหญ่เอเชียส่วนมากต่ำ-เท่าอาเซียน เว้นอินเดีย-จีน
ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในเอเชียหลายแห่งสามารถเจรจากับสหรัฐฯ และปิดดีลภายในเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม โดยญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้อัตราภาษีนำเข้าใหม่อยู่ที่ 15% ปากีสถานได้อัตราต่ำที่สุดในหมู่ประเทศเอเชียใต้ที่ 19% ส่วนไต้หวัน ศรีลังกา และบังกลาเทศได้ในระดับ 20% เท่ากับเวียดนาม
อินเดียถือเป็นข้อยกเว้นสำคัญในเอเชีย โดยสหรัฐฯ กำหนดภาษีนำเข้าไว้ที่ 25% ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค เหตุผลหลักมาจากมุมมองของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เห็นว่าอินเดียยังคงใช้นโยบายกีดกันทางการค้า ทั้งในรูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษี อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ทางพลังงานและความมั่นคงกับรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าไม่สอดคล้องกับความพยายามของประชาคมโลกในการลดการสนับสนุนรัสเซียเพื่อยุติสงครามในยูเครน
สำหรับจีน แม้อัตราภาษียังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในรอบนี้ แต่ยังอยู่ระหว่างการเจรจาก่อนถึงเส้นตายใหม่วันที่ 12 สิงหาคม หากเจรจาไม่สำเร็จ อัตราภาษีอาจถูกปรับขึ้นอย่างมากอีกครั้ง โดยอาจกลับไปแตะระดับสูงสุดที่ 145% แม้เจ้าหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายระบุว่ามีข้อตกลงขยายเวลาการเจรจาออกไป แต่ผลลัพธ์สุดท้ายยังขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์
ปัจจุบัน สินค้าจีนที่ส่งเข้าสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับอัตราภาษีเฉลี่ยสูงถึง 51.1% ครอบคลุมสินค้า 100% ทุกประเภท ขณะเดียวกัน จีนก็ตอบโต้ด้วยอัตราภาษีเฉลี่ย 32.6% สำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่เท่ากัน
แคนาดา-สวิส เจอขึ้นภาษี อาจกระทบเศรษฐกิจการค้า
แม้ประเทศส่วนใหญ่จะได้รับการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในรอบล่าสุด แต่บางประเทศกลับเผชิญกับอัตราที่สูงขึ้น โดยแคนาดาถูกเรียกเก็บในระดับ 35% และสวิตเซอร์แลนด์ 39% ซึ่งสูงกว่าที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ จาก 25% และ 39% ตามลำดับ
การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ครอบคลุมสินค้าจากแคนาดาเกือบทั้งหมด และอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนในเชิงสัญลักษณ์ต่อความสัมพันธ์ทวิภาคี อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าผลกระทบในเชิงปฏิบัติจะมีอย่างจำกัด เนื่องจากการค้าส่วนใหญ่ระหว่างสองประเทศยังคงอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของข้อตกลง USMCA ที่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2020 โดยกำหนดว่าสินค้าที่มีส่วนประกอบจากภูมิภาคอเมริกาเหนือในสัดส่วนที่เพียงพอสามารถนำเข้าสหรัฐฯ โดยไม่เสียภาษี
ดรูว์ ฟาแกน ศาสตราจารย์จาก Munk School of Global Affairs มหาวิทยาลัยโตรอนโต อธิบายว่า “การค้าระหว่างแคนาดากับสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ยังปลอดภาษีภายใต้ข้อตกลง USMCA” ด้านโกลดี ไฮเดอร์ ประธานและซีอีโอของสภาธุรกิจแคนาดา ระบุว่ามาตรการใหม่นี้ “ไม่น่ากังวล” เพราะเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของแคนาดายังคงได้รับการยกเว้นจากภาษี
ข้อมูลจากธนาคารกลางแคนาดาระบุว่า สินค้าส่งออกเกือบทั้งหมดของแคนาดายังเข้าเกณฑ์ได้รับยกเว้นภาษี โดยเฉพาะ 100% ของการส่งออกพลังงาน และ 95% ของสินค้าในหมวดอื่น ๆ ภายใต้เงื่อนไขของ USMCA อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกบางราย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก อาจต้องปรับตัว เนื่องจากที่ผ่านมาเคยละเลยขั้นตอนการรับรองสินค้าตามเกณฑ์ข้อตกลง
สิ่งที่น่าจับตามองมากกว่าคือมาตรการภาษีเฉพาะกลุ่มที่อยู่นอกขอบเขตของ USMCA เช่น ภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมที่ระดับ 50% รวมถึงภาษีสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์บางประเภทที่ 25% ซึ่งอาจกระทบภาคการผลิตโดยตรง
ฟาแกนชี้ว่า มาตรการที่ออกมาในรอบนี้ถือเป็นเพียง “ยกแรก” ของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และแคนาดา โดยการเจรจาครั้งใหญ่จะเริ่มขึ้นจริงในปีหน้า เมื่อข้อตกลง USMCA ต้องเข้าสู่กระบวนการทบทวนตามวาระ
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าจากสวิตเซอร์แลนด์ในอัตรา 39% ซึ่งสูงกว่าที่ทรัมป์เคยเสนอไว้ในเดือนเมษายนที่ 31% ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ในการลดการขาดดุลการค้าและกระตุ้นให้ภาคการผลิตย้ายกลับสู่สหรัฐฯ
สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีในระดับสูงสุดของโลก โดยอัตราดังกล่าวยังสูงกว่าประเทศที่สามารถเจรจาได้สำเร็จ เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ได้อัตราเท่ากันที่ 15%
ข้อมูลจาก Bloomberg Economics ระบุว่าเกือบครึ่งของสินค้าส่งออกจากสวิตเซอร์แลนด์ไปยังสหรัฐฯ ในปี 2024 เป็นเวชภัณฑ์ โดยเศรษฐกิจของประเทศพึ่งพาบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้ เช่น Novartis AG และ Roche Holding AG ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าภาษีที่เพิ่มขึ้นจะกระทบต่อภาคธุรกิจนี้ในระดับใด
ที่ผ่านมา สวิตเซอร์แลนด์พยายามอย่างมากในการเจรจาทางการทูตเพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เอื้อต่อการค้า โดยเฉพาะการรักษาสมดุลระหว่างนโยบายการค้าเสรีกับการปกป้องภาคเกษตรภายในประเทศ แม้ภาคเกษตรจะมีสัดส่วนต่ำกว่า 1% ของ GDP แต่ก็มีอิทธิพลทางการเมืองสูง