สรุปข่าวต่างประเทศ ประจำวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2568
สรุปข่าวต่างประเทศ ประจำวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2568
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -1 ส.ค. 68 9:04: น.
*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) งวดส่งมอบเดือนก.ย. ปิดที่ 69.26 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 74 เซนต์ หรือ 1.06%
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนก.ย. ปิดที่ 72.53 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 71 เซนต์ หรือ 0.97%
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับกำหนดเส้นตายมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในวันที่ 1 ส.ค. โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่ยังไม่ได้เจรจาข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ
*** สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีนำเข้า 19% สำหรับสินค้าจากประเทศไทยและกัมพูชา ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงจากเดิมที่เคยเผชิญอยู่ที่ 36% หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยขู่ว่าจะยกเลิกข้อตกลงทางการค้ากับทั้ง 2 ประเทศ หากไม่ยุติการปะทะบริเวณชายแดนที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต ซึ่งข้อเสนอจากไทยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกขึ้นภาษีที่สูงขึ้น ได้เสนอให้สหรัฐฯ เข้าถึงตลาดได้มากขึ้น โดยสัญญาว่า จะยกเลิกภาษีสำหรับสินค้า 90% ของสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังให้คำมั่นว่าจะใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อลดการเกินดุลการค้า ซึ่งมีมูลค่า 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลง 70% ภายใน 3 ปี รวมถึงการขนส่งสินค้าที่ผลิตในประเทศอื่น ๆ โดยใช้ไทยเป็นทางผ่าน
ด้านมาเลเซีย ซึ่งมีบทบาทในการเป็นตัวกลางเจรจาหยุดยิง ก็ได้รับการกำหนดอัตราภาษีที่ 19% เช่นกัน ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับอัตราที่ประกาศไปก่อนหน้านี้กับประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ขณะที่อัตราภาษีโลกขั้นต่ำ ทำเนียบขาวแถลงการณ์ว่า อัตราภาษีใหม่นี้ได้รับการประกาศพร้อมกับการแถลงของทรัมป์ที่ระบุว่า สหรัฐฯ จะคงอัตราภาษีโลกขั้นต่ำไว้ที่ 10% ซึ่งต่ำกว่าระดับที่เคยขู่ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 15% หรือสูงกว่า
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้เวลาเม็กซิโกอีก 90 วัน เพื่อเจรจาข้อตกลงทางการค้าในวงกว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยยับยั้งการขึ้นภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศส่วนใหญ่คาดว่าจะต้องเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นขั้นสุดท้ายตามกำหนดเส้นตายในวันศุกร์นี้
แคไรโลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะประกาศอัตราภาษีที่สูงขึ้นสำหรับประเทศจำนวนมากที่ยังไม่ได้เจรจาข้อตกลงทางการค้าภายในกำหนดเส้นตายก่อนเที่ยงคืน
*** ทำเนียบขาวแถลงว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษ (executive order) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาจาก 25% เป็น 35% โดยอัตราใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นต้นไป แถลงการณ์จากทำเนียบขาวระบุว่า เพื่อตอบสนองต่อการเพิกเฉยและการตอบโต้ของแคนาดาอย่างต่อเนื่อง ประธานาธิบดีทรัมป์จึงเห็นว่าจำเป็นต้องเพิ่มภาษีนำเข้าจากแคนาดาจาก 25% เป็น 35% เพื่อจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีอยู่ในขณะนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เพื่อแก้ไขมาตรการภาษีตอบโต้ทางการค้า (reciprocal tariffs) กับหลายสิบประเทศ โดยมีการปรับอัตราภาษีใหม่ตั้งแต่ 10% ถึง 41% โดยข้อมูลจากทำเนียบขาวระบุว่า สินค้าที่ถูกพิจารณาว่ามีการขนส่งผ่านประเทศที่ 3 (Transshipping) เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีที่เหมาะสม จะต้องเสียภาษีเพิ่มเติมอีก 40%
ขณะที่ประเทศที่ไม่มีรายชื่อในคำสั่งพิเศษฉบับล่าสุดนี้ จะต้องเผชิญกับภาษีเพิ่มเติม 10% โดยคำสั่งฉบับนี้เป็นการแก้ไขอัตราภาษีที่เคยกำหนดไว้ในคำสั่งพิเศษฉบับก่อนหน้าเมื่อเดือน เม.ย. ซึ่งอัตราภาษีนำเข้าที่กำหนดไว้ ได้แก่ อินเดียที่ 25% สำหรับสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ไต้หวัน 20% สำหรับสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ แอฟริกาใต้ 30% สำหรับสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกระดับแรงกดดันให้บริษัทเภสัชกรรมลดราคายาโดยได้ส่งจดหมายถึงบริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่ที่สุดของโลก 17 แห่ง เพื่อเรียกร้องให้กำหนดราคายาในสหรัฐฯ ให้เท่ากับราคาที่ประเทศอื่น ๆ จ่ายสำหรับยาตัวใหม่ ๆ โดยจดหมายที่ส่งถึง Eli Lilly & Co., Novo Nordisk A/S, Pfizer Inc. และบริษัทอื่น ๆ ทรัมป์ยืนยันให้บริษัทต่าง ๆ ลดราคายาที่มีอยู่ในปัจจุบันสำหรับโครงการ Medicaid ในทันที นอกจากนี้ยังขอให้บริษัทรับประกันว่ายาตัวใหม่ในอนาคตจะเปิดตัวและคงราคาในระดับเดียวกับราคาขายในต่างประเทศ พร้อมให้เวลาบริษัทเหล่านี้ 60 วันในการปฏิบัติตามโดยสมัครใจ พร้อมขู่ว่าจะ ใช้ทุกวิถีทางที่มี เพื่อปกป้องครอบครัวชาวอเมริกันจากการปฏิบัติที่เอาเปรียบด้านราคายา
*** Apple คาดการณ์รายได้ในไตรมาสปัจจุบันจะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ที่แข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากการที่ลูกค้าเร่งซื้อ iPhone ก่อนมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีผลบังคับใช้
Apple รายงานรายได้ในไตรมาส 3 ของปีงบประมาณสิ้นสุดวันที่ 28 มิ.ย. อยู่ที่ 94,040 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นเกือบ 10% จากปีก่อนหน้า ขณะที่กำไรต่อหุ้น (earnings per share) อยู่ที่ 1.57 ดอลลาร์สหรัฐ โดยราคาหุ้นของ Apple ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ ขณะที่ยอดขาย iPhone ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดของบริษัท เพิ่มขึ้น 13.5% อยู่ที่ 44,580 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
*** บริษัท Apple รายงานยอดขายในประเทศจีนกลับมาเติบโตเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี โดยระบุว่าปัจจัยหลักมาจากยอดขายคอมพิวเตอร์ Mac รุ่นใหม่ และความต้องการจากลูกค้าในเขตเมืองที่ต้องการซื้อโทรศัพท์มือถือ โดยรายได้ในจีนแผ่นดินใหญ่ ในไตรมาสเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 4.4% เป็น 15,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ที่ 15,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผลลัพธ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ยอดขายในจีน ซึ่งเคยเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของ Apple ลดลงติดต่อกันถึง 7 ไตรมาส
Apple ระบุว่าผู้บริโภคให้ความสนใจกับ MacBook Air, Mac Mini และ MacBook Pro อย่างมาก ส่งผลให้ธุรกิจในจีนเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก
*** ราคาหุ้นของ Amazon ร่วงลงกว่า 7% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังบริษัทประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ดีเกินคาด แต่ได้ให้แนวโน้มประมาณการกำไรจากการดำเนินงาน (operating income) ในช่วงเวลาปัจจุบันที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยกำไรต่อหุ้น (Earnings per share) อยู่ที่ 1.68 ดอลลาร์สหรัฐ มีรายได้ 167,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ Amazon Web Services (AWS) ทำรายได้ 30,870 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และธุรกิจโฆษณา อยู่ที่ 15,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
*** Microsoft มีมูลค่าตลาด (market value) ทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นับเป็นบริษัทจดทะเบียนแห่งที่ 2 ต่อจาก Nvidia ที่สามารถสร้างสถิติครั้งสำคัญนี้ได้ หลังรายงานผลประกอบการที่น่าประทับใจซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการทุ่มลงทุนมหาศาลในเทคโนโลยี AI ของบริษัทเริ่มเห็นผลตอบแทนแล้ว
โดยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ Microsoft และ Meta Platforms ยังส่งผลบวกต่อราคาหุ้นของ Amazon และดันให้ผู้ผลิตชิปอย่าง Nvidia ทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมูลค่าตลาดของ 4 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เหล่านี้เพิ่มขึ้นรวมกันกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ข้อมูลจาก LSEG ชี้ว่าผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดที่นำเทรนด์ AI อย่าง Nvidia, Microsoft, Amazon, Alphabet และ Meta Platforms มีมูลค่ารวมกันคิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 4 ของดัชนี S&P 500 ทั้งหมดแล้ว
*** ข้อมูลจาก PFA ซึ่งเป็นสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ในฝรั่งเศส เปิดเผยเว่า ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ในเดือน ก.ค. ลดลง 7.66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 116,377 คัน ขณะที่ยอดขายของ Tesla ในฝรั่งเศสลดลงถึง 26.57% เหลือ 1,307 คันในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ยอดขายของ Tesla หดตัวลง 38.52% ขณะที่ภาพรวมตลาดรถยนต์ในฝรั่งเศสโดยรวมลดลง 7.91% ในช่วงเวลาเดียวกัน
*** แม้ว่า Nvidia จะได้รับการยืนยันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะได้รับอนุญาตให้ส่งออกชิปประมวลผล AI รุ่น H20 สำหรับใช้งานในจีนได้อีกครั้ง แต่การกลับมาของชิปดังกล่าวอาจต้องเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นจากรัฐบาลจีน โดยสำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (Cyberspace Administration of China - CAC) ระบุว่า ผู้บริหารของ Nvidia ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีน เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อกังวลด้านความมั่นคงของชาติจากชิป H20 ซึ่งคาดว่าจะกลับมาจัดส่งให้จีนอีกครั้งหลังจากถูกสั่งระงับในเดือน เม.ย.
แถลงการณ์ของ CAC ระบุว่า Nvidia ถูกร้องขอให้ ชี้แจงและยื่นเอกสารประกอบที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัย รวมถึงช่องโหว่และ backdoors ที่อาจเกิดขึ้นในชิปประมวลผล H20 ที่ขายให้กับจีน
*** กลุ่มบริษัท Shein รายงานผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐและมีรายได้เกือบ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคเร่งซื้อสินค้าแฟชั่นจากบริษัทก่อนที่มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ โดยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งช่วยหนุนให้อัตรากำไรสุทธิ ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 5%
*** ข้อมูลจากรัฐบาลญี่ปุ่น ระบุว่าอัตราการว่างงานของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย. ทรงตัวอยู่ที่ 2.5% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ค่ากลางของนักเศรษฐศาสตร์ โดยอัตราส่วนงานต่อผู้สมัครในเดือน มิ.ย. (jobs-to-applicants ratio) ลดลงมาอยู่ที่ 1.22 จาก 1.24 ในเดือน พ.ค. ซึ่งต่ำกว่าค่ากลางที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.25
*** กิจกรรมภาคโรงงานของจีน แย่ลงอย่างไม่คาดคิดในเดือนก.ค. ซึ่งแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน แม้จะมีการสงบศึกมาตรการภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ แล้วก็ตาม โดยมีสัญญาณเบื้องต้นบ่งชี้ว่าการส่งออกเริ่มชะลอตัวและอุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนแอ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (PMI) อย่างเป็นทางการลดลงเหลือ 49.3 จากระดับ 49.7 ในเดือน มิ.ย. โดยตัวเลขที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงการหดตัวของภาคการผลิต
*** กิจกรรมภาคโรงงานของเกาหลีใต้หดตัวเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันในเดือน ก.ค. เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ได้ถ่วงน้ำหนักต่อการผลิตและคำสั่งซื้อ โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคการผลิตของเกาหลีใต้ ลดลงมาอยู่ที่ 48.0 ในเดือนก.ค. จากระดับ 48.7 ในเดือน มิ.ย. โดยดัชนีนี้อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและการหดตัวมาตั้งแต่เดือน ก.พ.
*** ยอดส่งออกของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันในเดือนก.ค. และสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการชิปที่แข็งแกร่ง หลังเพิ่มขึ้น 5.9% จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 60,820 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าการเพิ่มขึ้น 4.3% ในเดือน มิ.ย.
โดยสินค้าส่งออกหลัก ประกอบด้วยเซมิคอนดักเตอร์ ที่เพิ่มขึ้น 39.3% ในเดือน ก.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายปีที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2024 รถยนต์เพิ่มขึ้น 8.8% จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในตลาดที่ไม่ใช่สหรัฐฯ เรือพุ่งสูงถึง 107.6%
ด้านตัวเลขนำเข้า เพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนก.ค. มาอยู่ที่ 54,210 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้น 4.3% ในเดือน มิ.ย.
*** เศรษฐกิจของฮ่องกง มีการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบกว่า 1 ปีในไตรมาสที่ 2 โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายในประเทศที่เพิ่มขึ้นและการส่งออกที่แข็งแกร่ง เนื่องจากบริษัททั่วโลกเร่งการจัดส่งสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ตามประมาณการเบื้องต้นที่เผยแพร่โดยกรมสำมะโนและสถิติบ่งชี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัว 3.1% ในช่วงเดือน เม.ย.-มิ.ย. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่สิ้นปี 2023 และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 2.8% โดยปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตคือ ค่าใช้จ่ายในการบริโภคของภาคเอกชน ซึ่งกลับมาเติบโต 1.9% หลังจากหดตัวติดต่อกัน 4 ไตรมาส บ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น นอกจากนี้การเติบโตของการส่งออกยังเร่งตัวขึ้นถึง 11.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งรัฐบาลระบุว่าเป็นผลมาจากการ เร่งจัดส่งสินค้า หลังจากที่มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ได้รับการผ่อนคลายชั่วคราว
*** เศรษฐกิจของไต้หวันขยายตัวในอัตราที่เร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในไตรมาสที่ผ่านมา โดยเติบโตเร็วที่สุดในรอบ 4 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากความต้องการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติไต้หวันแถลงว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 7.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 5.48% ในไตรมาสก่อนหน้า
ธนาคารกลางไต้หวันเคยคาดการณ์การเติบโตของ GDP ไว้ที่ 5.5% ขณะที่สำนักงานสถิติคาดการณ์ไว้ที่ 5.23% โดยการส่งออกสุทธิมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไต้หวันในไตรมาสที่ผ่านมามากกว่า 2 ใน 3 ส่วน การลงทุนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5
รายงาน โดย สิริพงศ์ สิริชุมศรี เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ