เมื่อจีนใช้มังกรน้อย พลิกฟื้นชนบท (ตอนจบ) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
อีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นใน “หลีจู” (Lizu) หมู่บ้านขนาดเล็กอันร่มรื่นในเมืองอี้อู (Yiwu) ที่เรารู้จักดีในนามของ “ตลาดค้าส่งสินค้าเบ็ดเล็ดที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ตอนกลางของมณฑลเจ้อเจียง บริเวณ “อกไก่” ด้านซีกตะวันออกของจีน ได้รับการยอมรับในฐานะ “ศูนย์กลางสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่”
หลีจูเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ ล้อมรอบด้วยทิวเขาและต้นไม้โบราณ และอุดมไปด้วยเสน่ห์ของสถาปัตกยกรรมจากบ้านดั้งเดิมสีขาว-ดำที่ผสมผสานกับอาคารที่มีสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ หมู่บ้านหลีจูจึงซ่อนไว้ซึ่งแกลลอรี่ ร้านกาแฟ และร้านขายแยมและลูกกวาดที่แปรรูปจากลูกแพรที่มีรากเหง้ามากว่า 1,200 ปี ทำให้นักท่องเที่ยวต่างแดนได้รับประสบการณ์สุดพิเศษ ซึมซับวิถึชีวิตชนบทแบบดั้งเดิม และนำไปสู่ความสงบทางจิตใจ
และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ส่งผลให้หมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งใน “ต้นแบบ” ของการประสานวัฒนธรรมเข้ากับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้อย่างลงตัว จนสามารถดึงดูดคนหนุ่มสาวจีนที่มีแนวคิดและความสร้างสรรค์จำนวนมากลงสู่พื้นที่ชนบท อันนำไปสู่ “ความมีชีวิตชีวา” อย่างเป็นรูปธรรม
เราสังเกตเห็นกิจกรรมพิเศษ อาทิ เทศกาลดนตรี และการประกวดภาพถ่าย ตลอดจนการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการย้อมผ้า ไลฟ์สตรีมมิ่ง และอื่นๆ ที่มีรากฐานจากวัฒนธรรมและจุดเด่นในท้องถิ่น อันนำไปสู่การริเริ่มกว่า 70 โครงการ ส่งผลให้สามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 4.6 ล้านหยวนต่อปี ทำให้ผู้คนในหมู่บ้านมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 66,000 หยวนต่อปี
ในฐานะผู้รับผิดชอบการดำเนินธุรกิจโดยรวมและมักได้รับการขนานนามว่าเป็นซีอีโอของหมู่บ้านแห่งนี้ จิน จิง (Jin Jing) พร้อมด้วยทีมงานพยายามใช้ประโยชน์จากวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อสร้างแบรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ลูกแพร การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และอื่นๆ ในวงกว้าง
ด้วยมุมมองความคิดของผู้นำคนเก่งที่ว่า การเพิ่มมูลค่าของอาหารท้องถิ่นในพื้นที่ชนบทควรอยู่บนพื้นฐานของการสร้างระบบนิเวศแบบบูรณาการ โดยควรไปไกลมากกว่าการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร และขยายไปสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การศึกษา และการพักผ่อนหย่อนใจ ทำให้สามารถดึงดูดผู้ประกอบการรุ่นใหม่กว่า 80,000 คนเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญต่อการฟื้นฟูชนบท
ประการสำคัญ โดยที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของคนเหล่านี้เกิดหลังปี 1990 หรือมีอายุไม่ถึง 35 ปี ซึ่งนับเป็นการ “เติมพลัง” กายและความคิดในเชิงปริมาณและคุณภาพลงสู่พื้นที่ชนบทได้อย่างแท้จริง
“ความอดทน” ในการกลับไปใช้ชีวิตในพื้นที่ชนบทเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ “มังกรน้อย” ต้องพิสูจน์ตนเอง และกรณีศึกษานี้อาจนับเป็นตัวอย่างที่ดีเมื่อ หวัง ฮวน (Wang Huan) บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรเสฉวนในวัย 21 ปี ตัดสินใจ “หันหลัง” ให้กับโอกาสการทำงานในเมือง และ “มุ่งหน้า” กลับบ้านเกิดในเมืองฉงโจว (Chongzhou) มณฑลเสฉวน ทางซีกตะวันตกของจีน
โดยที่คนในพื้นที่มีคำถามสงสัยว่า เธอจบการศึกษาจากวิทยาลัยเพื่อกลับไปทำฟาร์มหรือ? และไม่มั่นใจว่าเธอจะอดทนข้ามปีการผลิตได้หรือไม่? การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะผู้จัดการฟาร์มขนาดเกือบ 1,500 ไร่จึงเต็มไปด้วยความท้าทาย
แต่เธอได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า เธอทำได้มากกว่านั้นเพราะไม่เพียง “ความอึด” ได้เท่านั้น แต่ยัง “ปฏิรูป” การทำเกษตรด้วยการนำเอาเครื่องจักรขั้นสูง โดรน และเทคนิคการทำฟาร์มอัจริยะมาประยุกต์ใช้ ช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้แก่เกษตรกร และได้รับการยอมรับในวงกว้างจนขยายงานไปดูแลสหกรณ์หลายแห่งในพื้นที่
ในเวลาต่อมา เธอมีพื้นที่บริหารฟาร์มอัจฉริยะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็นกว่า 3,000 ไร่ ผลิตข้าวและข้าวสาลีที่มีผลิตภาพเพิ่มขึ้น ทำให้ได้
ผลผลิตมากกว่า 6,000 ตัน เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 5,000 หยวนต่อเดือน ขณะที่ผู้ประกอบการเครื่องจักรสามารถทำรายได้ 300-400 หยวนต่อวัน ซึ่งเป็นประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจมากกว่า 2,000 ครัวเรือน
ผลงานความสำเร็จดังกล่าวทำให้ชื่อเสียงในความเป็น “เกษตรกรรุ่นใหม่” ที่นำความรู้ แนวคิด และทักษะใหม่ๆ มาสู่ชนบทของเธอขจรกระจายจนปักกิ่งมอบเกียรติบัติยกย่องเป็น “คนงานต้นแบบระดับชาติ” คนแรกของเมือง ปัจจุบัน หวัง ฮวนในวัย 36 ปีก็ยังคงมุ่งมั่นสร้างความกระชุ่มกระชวยให้กับพื้นที่ชนบทต่อไป
จากหลายกรณีศึกษาที่ผมนำเสนอไป จะเห็นได้ว่าจีนทุ่มทุนกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก การนำเอานวัตกรรมและเครื่องจักรเครื่องมือทางการเกษตรที่ทันสมัยมาใช้ และการบูรณาการองค์กร ทรัพยากรที่มีอยู่ และความรู้ในตำราเรียนเข้ากับการปฏิบัติจริงในชนบท รวมทั้งการสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถในพื้นที่ชนบท
ยิ่งพอมองออกไปข้างหน้า รัฐบาลจีนยังจะต้องให้ความสำคัญกับการปรับแต่งนโยบายที่ดินในชนบทและขยายขอบเขตของการขยายตัวของเมืองในขั้นตอนต่อไปของ “การปฏิรูป” เพื่อให้มั่นใจว่าการพัฒนาพื้นที่ชนบทจะดำเนินไปอย่างยั่งยืน
สิ่งนี้จะสอดรับกับคำกล่าวท่อนหนึ่งในสุนทรพจน์ปีใหม่ของสี จิ้นผิงเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ระบุว่า “ประเทศจะเจริญรุ่งเรืองเมื่อคนหนุ่มสาวเจริญรุ่งเรือง คนหนุ่มสาวของเราต้องก้าวไปข้างหน้าและรับผิดชอบ”
ความท้าทายที่รออยู่ก็คือ ภายใต้แนวโน้มสภาพอากาศที่ผันผวนและรุนแรงยิ่งขึ้น จีนอยากเห็นการใช้ประโยชน์ในที่ดินเพื่อการเกษตรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น … ใช้ปริมาณที่ดินน้อยลง แต่ให้ผลผลิตต่อไร่ที่สูงขึ้น
จีนจะสามารถรักษา “ความปลอดภัยด้านอาหาร” (Food Safety) ผ่านการขยายพื้นที่การเพาะปลูกที่มีมาตรฐานสูง พัฒนาสายพันธุ์และสร้างสถิติใหม่ของผลผลิตธัญพืชคุณภาพดีต่อปี และเสริมสร้างความพร้อมด้านอาหาร “รักษาชามข้าวไว้ในมืออย่างมั่นคง” (Food Security) รวมทั้งยกระดับการเกษตรที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม (Food Sustainability) ได้หรือไม่ อย่างไร
ในระยะหลัง หลายมณฑลยังพัฒนา “ระบบ” ที่จูงใจ “มังกรน้อย” ให้กลับสู่พื้นที่ชนชทอย่างน่าสนใจ อาทิ ระบบสินเชื่อวงเงินถึง 500,000 หยวนที่สนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีความสามารถของมณฑลเจียงซี และระบบ “กรีนการ์ด” (Green Card) ที่มอบสิทธิประโยชน์และการเข้าถึงการสาธารณสุขแก่คนที่กลับสู่พื้นที่ชนบท รวมไปถึงการศึกษาสำหรับลูกหลานที่มณฑลเสฉวนริเริ่มขึ้น
เราจึงน่าจะเห็น “การปฎิรูป” ที่จีนจะให้ความสำคัญกับความรู้สึกและความต้องการของเกษตรกรที่ครอบคลุมถึงคนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในอนาคต การทำฟาร์มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และบริการสาธารณะที่ทันสมัย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างรากฐานทางการเกษตรที่มั่นคงและพื้นที่ชนบทที่เจริญรุ่งเรือง รวมไปถึงมาตรฐานการครองชีพของผู้คนในชนบทที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต
จีนจะสามารถบรรลุเป้าหมาย “ระยะสั้น” ที่ต้องการดึง “มังกรน้อย” ที่พร้อมพรั่งด้วยความรู้ ประสบการณ์ และเครือข่ายธุรกิจให้หลั่งไหลสู่พื้นที่ชนบท และสร้างความก้าวหน้าในการปรับปรุงพื้นที่ชนบทให้เป็น “เกษตรทันสมัย” ภายในปี 2027 ได้หรือไม่?
การสานฝันของคนหนุ่มสาวจีนให้เกิดเป็นจริงได้จะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการปรับปรุงพื้นที่ชนบทอย่างรอบด้าน และช่วยพลิกฟื้นให้เศรษฐกิจและสังคมจีนบรรลุเป้าหมาย “ระยะกลาง” ในปี 2035
ประการสำคัญ เรายังต้องติดตามกันต่อไปว่า “มังกรน้อย” เหล่านั้นจะยกระดับสถานะตนเองสู่ “คนชั้นกลาง” เพิ่มจำนวนรวมจาก 500 ล้านคนในปี 2024 เป็น 800 ล้านคนในปี 2035 และช่วยให้เศรษฐกิจจีนเติบใหญ่และก้าวขึ้นเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” ได้อย่างแท้จริงหรือไม่? อย่างไร? …
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เมื่อจีนใช้มังกรน้อย พลิกฟื้นชนบท (ตอน 5) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
- เมื่อจีนใช้มังกรน้อย พลิกฟื้นชนบท (ตอน 2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
- เมื่อ “นาจา 2” ทรงพลังนอกจอ โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
- เมื่อมังกรประสานมือเอกชนสู้เทรดวอร์ 2.0 (ตอน 1) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
- เมื่อมังกรเจาะลึกกว่าที่เคยเป็นมา โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร