ขาดดุลสหรัฐฯ พุ่ง 9.4 ล้านล้าน แม้ภาษีทรัมป์ดันรายได้ แต่รายจ่ายรัฐพุ่งแซง
รอยเตอร์รายงานว่า กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขขาดดุลงบประมาณเดือนกรกฎาคม 2568 พุ่งขึ้นเกือบ 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แตะ 291,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 9.4 ล้านล้านบาท แม้รายได้ภาษีนำเข้าภายใต้มาตรการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเพิ่มขึ้นแรงกว่าเท่าตัว แต่รายจ่ายของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการประกันสุขภาพ ดอกเบี้ยหนี้ และบำนาญ ยังคงเติบโตเร็วจนแซงหน้ารายได้ที่เพิ่มขึ้น
ข้อมูลระบุว่า เดือนกรกฎาคมมีรายรับรวม 338,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2% หรือ 8,000 ล้านดอลลาร์จากปีก่อน ขณะที่รายจ่ายพุ่งขึ้น 10% หรือ 56,000 ล้านดอลลาร์ แตะ 630,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดสำหรับเดือนนี้ หากปรับตัวเลขให้สะท้อนจำนวนวันทำการที่น้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อน การขาดดุลจะอยู่ที่ราว 271,000 ล้านดอลลาร์
รายได้สุทธิจากภาษีนำเข้าเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นราว 27,700 ล้านดอลลาร์ จากเพียง 7,100 ล้านดอลลาร์ในปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ แม้มาตรการดังกล่าวช่วยเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่คลัง แต่ต้นทุนภาษีนี้ถูกแบกรับโดยผู้นำเข้าและถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคในรูปของราคาสินค้าที่สูงขึ้น ดัชนีราคาผู้บริโภคล่าสุดสะท้อนว่าสินค้าบางประเภท เช่น เฟอร์นิเจอร์ รองเท้า และอะไหล่รถยนต์ ปรับขึ้นตามภาษี แต่ถูกชดเชยด้วยราคาน้ำมันเบนซินที่ลดลง
ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณนี้ รัฐบาลสหรัฐจัดเก็บภาษีนำเข้ารวม 135,700 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 116% จากปีก่อน โดยสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ มองว่ารายได้ภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาจทำให้ศาลสูงตัดสินคัดค้านมาตรการดังกล่าวได้ยากขึ้นหากมีการฟ้องร้อง ขณะที่เคน มาเธนี จาก Budget Lab มหาวิทยาลัยเยล ชี้ว่าแม้รายได้ภาษีเพิ่มขึ้น แต่อัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริงยังอยู่เพียงราว 10% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตามประกาศล่าสุดที่ราว 18% และมีความเป็นไปได้ที่ผู้นำเข้าจำนวนมากเก็บสินค้าไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บน รอความหวังว่าภาษีจะถูกปรับลด
อย่างไรก็ตาม รายได้ภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นถูกกลบด้วยรายจ่ายโครงการประกันสุขภาพของรัฐบาลที่ขยายตัว 10% หรือ 141,000 ล้านดอลลาร์ รวมเป็น 1.557 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 เดือน ขณะที่ดอกเบี้ยหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 6% หรือ 57,000 ล้านดอลลาร์ แตะกว่า 1.01 ล้านล้านดอลลาร์ จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและปริมาณหนี้ที่มากขึ้น ทำให้การขาดดุลยังคงเป็นปัญหาสำคัญแม้รายได้ภาษีจะเติบโตต่อเนื่อง