เวลางาน 9 to 5 เชยไปแล้ว! กูรู HR ชี้ คนทำงานเบื่อถูกสั่ง ติดกรอบเดิม
โลกการทำงานเปลี่ยนไปแล้ว แต่บริษัทจำนวนไม่น้อยยังยึดติดกับตารางงานแบบเดิมๆ ที่เรียกว่า "9 to 5" (เข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงเย็น) ที่ให้พนักงานนั่งออฟฟิศ 8 ชั่วโมงทุกวัน ซึ่ง อาเนสซา ไฟค์ (Anessa Fike) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัทที่ปรึกษาด้าน HR Fike+ Co และผู้เขียนหนังสือ The Revolution of Work มองว่ามันเป็นโมเดลการทำงานที่ “ล้าสมัยจริงๆ”
“เราผ่านการเปลี่ยนแปลงมามากมายในชีวิตประจำวัน แต่ในที่ทำงาน ทำไมเรายังทำสิ่งเดิมๆ เหมือนรุ่นพ่อแม่หรือปู่ย่าของเราอยู่เลย” ไฟค์ บอก
ตารางงานแบบดั้งเดิม อาจไม่ตอบโจทย์ชีวิตจริงในยุคนี้แล้ว
ตามมุมมองของที่ปรึกษาด้าน HR คนนี้มองว่า ตารางงาน 9-to-5 ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยเฉพาะกับพ่อแม่ที่ต้องจัดการเวลาเลี้ยงดูลูก เพราะเวลาเลิกงานไม่ตรงกับเวลาโรงเรียน ไฟค์เตือนว่า “เราไม่สามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบนี้ต่อไปได้อีกแล้วในยุคนี้ เมื่อมีคนจำนวนมากกำลังเผชิญภาวะหมดไฟและหมดความผูกพันกับงาน”
ทั้งนี้ โควิด-19 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้โมเดลการทำงานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เกิดเทรนด์การทำงานหลากหลายรูปแบบมากๆ ขึ้นมาในสังคมการทำงาน หลายคนได้สัมผัสกับการทำงานที่บ้าน ทำทางไกลจากที่ไหนก็ได้ หรือทำงานแบบไฮบริด (สลับวันทำงานที่อื่นกับวันเข้าออฟฟิศ)
จึงไม่น่าแปลกใจที่พนักงานส่วนใหญ่เริ่มต่อต้านนโยบายถูกบังคับกลับเข้าออฟฟิศ และไม่อยากถูกยึดติดกับเวลางานที่ตายตัวอีกต่อไป ซีอีโอหญิง อาเนสซา ไฟค์ บอกอีกว่า “ในฐานะมนุษย์ เรารู้สึกเบื่อมากๆ กับการที่ถูกบอกตลอดเวลาว่าต้องทำอะไร โดยเฉพาะในแง่ของการกำหนดเวลางาน”
Anessa Fike ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ HR Fike Co
เปิดมุมมองกูรู HR ทำไมบริษัทไม่ยอมเปลี่ยนโมเดลงานเดิม?
ไฟค์อธิบายว่า หนึ่งในเหตุผลใหญ่คือเรื่อง "ต้นทุนพื้นที่สำนักงาน" เพราะเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ต้องการผลตอบแทน ทำให้บริษัทกดดันพนักงานกลับมาใช้ออฟฟิศ ส่วนอีกเหตุผลถัดมาคือ "กลไกการควบคุมของผู้จัดการ" ที่ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะบริหารทีมได้ หากไม่ได้เห็นลูกน้องนั่งทำงานตรงหน้า
“ผู้จัดการหลายคนขี้เกียจจริงๆ ค่ะ พวกเขาสามารถคิดหาวิธีใหม่ๆ ได้ แต่เลือกที่จะไม่ทำ แล้วก็มักจะอ้างว่า ‘มันยาก’ หรือ ‘ใช้ไม่ได้กับทีมเรา’ สำหรับฉัน นั่นแปลว่า ‘คุณแค่ไม่อยากคิดหาทางออกต่างหาก’” ไฟค์ระบุ
การขาดความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการนี่เอง ที่ผลักให้พนักงานจำนวนมากหันไปหางานใหม่ หรือเลือกทำงานอิสระแบบฟรีแลนซ์แทนงานประจำ
“ในมุมมองของฉัน คนที่ออกจากงานประจำแล้วหันไปเป็นฟรีแลซ์ เป็นเพราะพวกเขาเบื่อที่จะถูกสั่งว่าต้องทำงานที่ไหน ตอนไหน หรือแม้แต่พักกลางวันตอนไหน เราทุกคนเป็นผู้ใหญ่แล้ว จริงๆ เราอยากถูกกำหนดชีวิตขนาดนั้นหรือ?” ไฟค์ตั้งคำถาม
อนาคตของการทำงานคือ “ความยืดหยุ่น”
ไฟค์บอกว่ากุญแจของที่ทำงานที่ประสบความสำเร็จคือ การฟังว่าพนักงานต้องการอะไร แม้ตอนนี้จะมีผลวิจัยมากมายหลายชิ้น ชี้ว่า คนรุ่น Gen Z หลายคนยังอยากเข้าออฟฟิศเพื่อเรียนรู้จากเพื่อนร่วมงาน แต่ก็มีอีกมากที่ไม่อยากกลับไปที่ออฟฟิศอีกเลย และทั้งสองแบบก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้
“ไม่ใช่ทุกคนที่ทำงานได้ดีที่สุดในช่วง 9 โมงถึง 5 โมงเย็น” เธออธิบาย “สมองของเราทำงานต่างกัน แต่ในยุคที่ผ่านมา นายจ้างกลับพยายามจับทุกคนที่ซับซ้อนให้มาทำงานในรูปแบบเดียวกัน แล้วก็สงสัยว่าทำไมมันถึงไม่เวิร์ก”
ไฟค์เล่าว่า ตัวเองเพิ่งค้นพบว่าช่วงเวลาไหนที่มีประสิทธิภาพที่สุด ก็ตอนออกจากระบบงานองค์กรแล้ว “ลองคิดดูว่าถ้าเราช่วยให้คนรุ่นใหม่ค้นพบช่วงเวลาทำงานที่เหมาะกับตัวเองได้ตั้งแต่อายุยี่สิบต้นๆ ไม่ต้องรอจนถึงอายุสามสิบหรือสี่สิบ ประสิทธิภาพในการทำงานจะสูงขึ้นแค่ไหน”
หนึ่งในโมเดลที่ประสบความสำเร็จคือการตั้ง “Core Hours” หรือชั่วโมงหลักที่ให้พนักงานอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งทุกวัน ส่วนเวลาอื่นๆ ก็สามารถจัดการได้เองตามสะดวก
“ฉันมักจะแนะนำให้เจ้าของธุรกิจลองคุยกับพนักงาน แล้วสร้างรูปแบบการทำงานที่หลากหลายขึ้น และที่สำคัญคือลองปรับใช้จริงในองค์กร” ไฟค์ทิ้งท้าย
อ้างอิง: CNBC Make it, The Revolution of Work