‘บิ๊กเต่า’ ชี้ชัด ‘พระอลงกต’ ลาสิกขาแล้ว เผยไม่หนีคดี ขณะที่ ตร. ตร.สอบเข้มบัญชีเงินวัด-ทรัพย์สินโยงบุคคลใกล้ชิด
‘บิ๊กเต่า’ ชี้ชัด ‘พระอลงกต’ ลาสิกขาแล้ว เผยไม่หนีคดี แต่แยกธรรมวินัยออกจากกฎหมาย ตร.สอบเข้มบัญชีเงินวัด-ทรัพย์สินโยงบุคคลใกล้ชิด
เมื่อเวลา 15.15 น. วันที่ 26 สิงหาคม 2568 ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง. ) ร่วมแถลงผลความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีการใช้เงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุที่อาจมีการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เปิดเผยว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงาน ซึ่งกองกำกับการ 1 กองปราบปรามจะเป็นหน่วยงานหลักในการสืบสวน ขณะนี้มีการเข้าตรวจค้นสถานที่เป้าหมายรวม 17 จุดทั่วประเทศ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยยังอยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบ
สำหรับพระอลงกต หรือชื่อเดิมว่า อลงกต พลมุก อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งตกเป็นเป้าหมายสำคัญในการตรวจสอบ ได้ยอมสละสมณเพศโดยสมัครใจ ไม่มีการบังคับหรือข่มขู่ใด ๆ ทั้งสิ้น โดยก่อนสึก พระอลงกตได้แสดงธรรมเทศนาเป็นครั้งสุดท้ายต่อพระภิกษุและประชาชน ซึ่งคลิปดังกล่าวจะมีการเปิดเผยต่อสาธารณชนในเร็ว ๆ นี้
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า พระอลงกตได้แยกแยะชัดเจนระหว่างพระธรรมวินัยกับกฎหมายบ้านเมือง ท่านยอมรับว่ามีบางการกระทำที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ แต่ก็มีบางส่วนที่ละเมิดกฎหมาย ซึ่งท่านก็ยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามครรลอง
ด้าน พล.ต.ต.วิทยา ระบุว่า เบื้องต้นการสืบสวนแบ่งเป็น 2 ส่วน คือการตรวจสอบบัญชีเงินบริจาค “ใจฟ้า” ที่มีมูลค่าตั้งต้นในคดีนี้ประมาณ 300 ล้านบาท และการขยายผลไปยังทรัพย์สินอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับบุคคลใกล้ชิดพระอลงกต โดยต้องพิสูจน์ว่าทรัพย์เหล่านั้นได้มาโดยสุจริตหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดหรือไม่
หนึ่งในปัญหาหลัก คือ เส้นทางการเงินที่ซับซ้อนและส่วนใหญ่เป็นการใช้เงินสด ทำให้การตรวจสอบเป็นไปด้วยความยากลำบาก อีกทั้งยังมีรายงานว่า เงินที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้มีมูลค่าสูงถึงหลักพันล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต้องตรวจสอบอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ บัญชี "ใจฟ้า" ถูกปิดไปเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีการเปลี่ยนชื่อบัญชีเป็นชื่อวัด แต่ยังใช้ชื่อบุคคลธรรมดาในการทำธุรกรรม ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวนว่า เงินถูกโอนให้วัดจริงหรือไม่ และเป็นไปตามเจตนาบริจาคของผู้ศรัทธาหรือไม่
ส่วนการปลอมใบสุทธิพระ ตรวจสอบย้อนหลังกว่า 10 ปี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือข้อสงสัยเรื่องการปลอมใบสุทธิบวชก่อนที่พระอลงกตจะเข้าสู่สมณเพศ ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารและสอบปากคำผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงญาติและบุคคลใกล้ชิดในช่วงเวลานั้น
นอกจากนี้ ยังพบว่าช่วงหนึ่งในอดีต พระอลงกตหายตัวไปจากระบบราชการและไม่เข้ารับการคัดเลือกทหาร ซึ่งจะต้องตรวจสอบว่ามีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุลหรือไม่ เพราะบุคคลใกล้ชิดหลายรายใช้นามสกุล “พลมุก” เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ จะเร่งดำเนินคดีเพื่อรักษาศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยทางด้านเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. และ ป.ป.ช. ย้ำว่า คดีนี้ไม่ใช่เพียงการตรวจสอบเงินบริจาคผิดวัตถุประสงค์เท่านั้น แต่ยังมีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกหรือปล่อยปละละเลยให้เกิดพฤติกรรมทุจริตขึ้นในวัด ซึ่งหากพบว่าเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก็จะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด
ขณะที่ทางด้านเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยว่า พระอลงกตได้ให้ข้อคิดแก่เจ้าหน้าที่ว่า “อย่ายึดติดกับเงินทองหรือผลประโยชน์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำลายศาสนา” ซึ่งถือเป็นสิ่งเตือนใจให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายยึดหลักธรรมในการดำเนินชีวิต
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานและสอบปากคำเพิ่มเติม โดยจะมีการแถลงข่าวสรุปข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการอีกครั้งเมื่อกระบวนการสืบสวนมีความคืบหน้า