“อัทธ์ พิศาลวานิช”คาด 3 ปีข้างหน้าสินค้าจีนทะลักเข้าไทยสูงสุดในรอบ 10 ปี
นายอัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยว่า หลังจากที่ภาษีทรัมป์ หรือ ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) มีผลบังคับในวันที่ 7 ส.ค. 2568 (ตามเวลาในสหรัฐฯ) อัตราภาษีที่สหรัฐฯ เก็บ 90 ประเทศทั่วโลก อยู่ในช่วง 15% ถึง 50% ประเทศส่วนใหญ่เจอภาษีทรัมป์ที่ 15% ประเทศที่เจอภาษีทรัมป์สูงสุดคือ อินเดียและบราซิล ที่ 50% ในขณะที่จีน ล่าสุดถูกเก็บภาษีที่ 30% โดยเมื่อ 11 ส.ค. 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ลงนามใน Executive Order เพื่อขยายการระงับการขึ้นภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากจีนอีก 90 วันไปสิ้นสุดที่ 10 พ.ย. ทำให้สถานะล่าสุดที่สหรัฐฯ เก็บจากสินค้าจีนอยู่ที่ 30% และจีนก็เก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ที่ 10%
จากข้อมูล USITC ( US International Trade Commission) พบว่าก่อนภาษีทรัมป์สินค้าจีนที่ส่งไปสหรัฐฯ เสียภาษีอยู่ระหว่าง 0% ถึง 25% (ภาษี 25% ที่สหรัฐฯ เก็บสินค้าจีนเป็นผลมาจากการใช้ มาตรา 301 ตาม กม. Trade Act 1974 ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลกทรอนิกส์ เครื่องจักร และเฟอร์นิเจอร์)
ผลภาษีทรัมป์ทำให้สินค้าจีนส่งออกไปสหรัฐฯ “ยากขึ้น” สินค้าจีน จะถูกกระจายไปยังประเทศอื่นๆ ทั้งอาเซียน ตะวันออกกลาง และอัฟริกาแทน ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่สินค้าจีนจะส่งออกไปขายแทนที่สินค้าจีนที่เจอภาษีทรัมป์ เรียกว่า“เบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion)” ซึ่งภายใต้ภาษีทรัมป์ จะทำให้สินค้าจีนส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง ขณะที่จีนยังคงรักษาระดับการผลิตเท่าเดิม สินค้าจีนที่ลดลงเหล่านั้น หันไปส่งออกไปประเทศอื่นแทน
นายอัทธ์ กล่าว จากการวิเคราะห์พบว่า จีนส่งออกไปสหรัฐฯ ช่วง 19 ปีที่ผ่านมา (2006-2024) เพิ่มจาก 2 แสนล้านดอลลาร์ เป็น 5 แสนล้านดอลลาร์ โดยในปี 2018 และได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ จากระดับ 2 แสนล้านดอลลาร์ สูงสุดที่ 4 แสนล้านดอลลาร์ แม้ว่าในปี 2024 จีนได้ดุลการค้าลดลงเหลือ 2.9 แสนล้านดอลลาร์ก็ตาม ก็ถือว่ายังเป็นตัวเลขที่สูงมาก และยังเป็นปัญหาหนักของสหรัฐฯ ที่ต้องพึ่งพิงสินค้าจีนที่หลายรัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่สามารถแก้ไขได้ สินค้าจีน 70% ในห้าง Walmart มาจากประเทศจีนหากสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 30% จีนส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงหายไป 300 พันล้านดอลลาร์ ใน 3 ปีข้างหน้า
จากการลดการนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ มูลค่า 301.7 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เกิดการเบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion) จากตลาดสหรัฐฯ ไปสู่ตลาดอื่นๆ ประเทศไทยเป็นประเทศที่สามในอาเซียนที่สินค้าจีนจะทะลักเข้ามาขาย รองจากเวียดนาม และมาเลเซีย โดยเข้ามาในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วน 2.4% ของสินค้าจีนที่ขายไปสหรัฐฯ ไม่ได้ ซึ่งจากการวิเคราะห์ช่วงปี 2025-2028 พบว่า กรณีที่สหรัฐฯ ไม่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 30% ไทยนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มจาก 83,467 ล้านดอลลาร์ เป็น 105,632 ล้านดอลลาร์
กรณีที่สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 30% ไทยนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มจาก 2,052 ล้านดอลลาร์ เป็น 2,597 ล้านดอลลาร์ ทำให้ไทยนำเข้าสินค้าจีนรวมทั้ง 2 กรณีเพิ่มจาก 85,520 ล้านดอลลาร์เป็น 108,230 ล้านดอลลาร์ และไทยขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มจาก 46,660 ล้านดอลลาร์ เป็น 63,630 ล้านดอลลาร์
“ผลภาษีทรัมป์ ที่เก็บกับสินค้าจีน 30% ทำให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาในไทยมูลค่า 69,781 - 88,298 ล้านบาท โดยสินค้าจีนที่คาดว่าจะส่งออกมาประเทศไทย หลังจากที่ส่งไปขายในสหรัฐฯ ลดลง ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ เครื่องใช้สำหรับโทรคมนาคมและอุปกรณ์เครือข่าย รถยนต์ (สำเร็จรูป/ชิ้นส่วน) และคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เป็นต้น”นายอัทธ์ กล่าว
นายอัทธ์ กล่าวว่า ในช่วง 3 ปีข้างหน้า สินค้าจีนจะเข้ามาในประเทศไทยสูงสุดในรอบ 10 ปี ทั้งจากนโยบายรัฐบาลจีนและภาษีทรัมป์ ส่งผลทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมากเป็นประวัติการณ์ โดยสินค้าจีนที่เข้ามาตามนโยบายรัฐบาลจีนมีทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม แต่ผลของภาษีทรัมป์จะทำให้สินค้าอุตสาหกรรมจีนส่วนใหญ่เข้ามาในไทย ทั้งนี้ สินค้าจีนที่ทะลักเข้าไทยมากน้อยแค่ไหนตามภาษีทรัมป์ ขึ้นกับผลการเจรจาการค้าสหรัฐฯ กับ จีนที่จะสิ้นสุด ในวันที่ 10 พ.ย. 2568 หากมากกว่า 30% จะส่งผลต่อสินค้าจีนที่จะทะลักเข้ามาในไทยมากกว่าที่ประเมินไว้ข้างต้น
ทั้งนี้มีรัฐบาลควรสร้างระบบการเตือนภัยและติดตามล่วงหน้า (Early-Warning) สินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาไทย คุมกฎถิ่นกำเนิดอย่างโปร่งใส และทำระบบการตรวจสอบย้อนกลับกับหน่วยงานสหรัฐฯ สำหรับสินค้าที่มีความเสี่ยงถูกตีความเป็น transshipment ไปสหรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี 40% รวมทั้งสร้างมาตรการนำเข้าเข้มข้นสินค้าจีนทั้งคุณภาพและมาตรฐานเพื่อให้ SMEs ไทยสามารถแข่งขันกับสินค้าจีนได้ และตั้งกองทุนปรับตัวอุตสาหกรรมเพื่อ SMEs ช่วยในการปรับตัวแข่งขันกับสินค้าจีน