หนี้ครัวเรือนสูง-กำลังซื้อหดฉุดดัชนี PMI ปี 68 ร่วงเหลือ 0-0.5%
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนก.ค. 68 ว่า อยู่ที่ระดับ 93.34 หดตัว 3.98% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 57.37% ซึ่งเป็นผลมาจากการผลิตรถยนต์กลับมาหดตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ รถยนต์ไฮบริดไม่เกิน 1,800 ซีซี และรถยนต์นั่งขนาดเล็ก เนื่องจากมีผู้ผลิตรายใหญ่หยุดการผลิตชั่วคราวเพื่อย้ายโรงงาน
รวมถึงผู้ผลิตบางรายปรับลดปริมาณการผลิตรถยนต์สันดาปลงตามคำสั่งซื้อ และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ คือ โรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ 1 ราย หยุดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ตามแผนประจำปี อีกทั้งผู้ประกอบการมีการนำสินค้าในสต็อก (Inventory) ออกมาขาย เนื่องจากดูท่าทีผลของการเจรจาภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมถึงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสินเชื่ออุปโภคบริโภค สินเชื่อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิตยังคงปรับเพิ่มขึ้น ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็มีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าภาคอุตสาหกรรม รวมถึงความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลง อีกทั้ง นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศชะลอตัว ส่งผลต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหารแช่แข็ง ไส้กรอก กระเป๋าเดินทาง รองเท้ากีฬา และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น
สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทย เดือนสิงหาคม 2568 ส่งสัญญาณเฝ้าระวังโดยปัจจัยในประเทศส่งสัญญาณชะลอตัว จากผลของกำลังซื้อในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมทั้งความเชื่อมั่น ด้านคำสั่งซื้อที่ลดลงจากความกังวลต่อผลกระทบมาตรการภาษีสหรัฐฯ ด้านปัจจัยต่างประเทศภาพรวมส่งสัญญาณเฝ้าระวังเช่นกัน จากการนำเข้าในบางประเทศหดตัวลง และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขั้นสุดท้ายหดตัวลงตามอุปสงค์ที่ลดลง
สำหรับดัชนี MPI ไตรมาส 2 ปี 2568 ขยายตัว 0.53% ด้าน GDP อุตสาหกรรมขยายตัว 1.70% และ 7 เดือนแรก ปี 68 ดัชนี MPI หดตัว 0.70% โดย สศอ. ได้ประมาณการ ดัชนี MPI ปี 2568 ขยาย 0 - 0.5% ด้าน GDP อุตสาหกรรม ขยายตัว 0.5 - 1.5% จากประมาณการเดิมที่คาดว่าดัชนี MPI ปี 2568 ขยายตัว 0 – 1% และ GDP อุตสาหกรรม ขยายตัว 0.5 - 1.5%
แต่ในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปี 2568 ยังมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การค้าระหว่างประเทศของไทยกับคู่ค้าหลักยังมีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง การผ่อนคลายนโยบายการเงินด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และทิศทางบวกจากผลการเจรจาภาษี Reciprocal Tariff กับสหรัฐฯ โดยไทยได้อัตราภาษีต่ำกว่า หรืออยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ทำให้ไทยยังคงสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนกรกฎาคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบด้วย
- มอเตอร์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้า และอุปกรณ์ควบคุม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 54.69% จากหม้อแปลงไฟฟ้าเป็นหลัก เนื่องจากการเร่งผลิตและส่งมอบตามสัญญาจ้างทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
- ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.43% จาก PCBA เป็นหลัก จากการเร่งผลิตและส่งออกไปสหรัฐอเมริกาก่อนนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ ประกอบกับการเติบโตของตลาด AI และมีการลงทุนในโครงการ Data Center ส่งผลให้มีการใช้ PCBA เพิ่มขึ้น
- เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.72% จากท่อเหล็กกล้าที่เร่งผลิตและส่งมอบตามคำสั่งซื้อที่ได้รับจากสหรัฐอเมริกา และเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีที่ผลิตเพื่อส่งมอบให้ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตเดือนกรกฎาคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบด้วย
- ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.43% จากน้ำมันดีเซล น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันเบนซิน 91 เป็นหลัก เนื่องจากผู้ผลิตบางรายหยุดผลิตชั่วคราวเพื่อซ่อมบำรุงครั้งใหญ่
- ยานยนต์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.66% จากรถบรรทุกปิคอัพ รถยนต์นั่งขนาดใหญ่ รถยนต์ไฮบริดไม่เกิน 1800 ซีซี และรถยนต์นั่งขนาดเล็ก จากการหยุดผลิตชั่วคราวเพื่อย้ายโรงงานของผู้ผลิตบางราย ประกอบกับมีผู้ผลิตบางรายปรับลดปริมาณการผลิตลง ตามคำสั่งซื้อที่ลดลงมาก
- ผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.51% จากยางแท่งตามคำสั่งซื้อของลูกค้าจีนลดลง และถุงมือยางทางการแพทย์ซึ่งมีผู้ผลิตบางรายหยุดผลิตชั่วคราว