แนวโน้มราคาทองคำเดือนสิงหาคม 2568
#ทันหุ้น – ในเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ราคาทองคำเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบระหว่าง 3,283 ถึง 3,439 ดอลลาร์สหรัฐ
ต่อทรอยออนซ์ หลังจากช่วงเดือนเมษายน ที่เคยทำสถิติสูงสุดเหนือ 3,500 ดอลลาร์ โดยช่วงต้นเดือน ราคาทองได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง รวมถึงความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น จากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศว่าจะบังคับใช้ภาษีนำเข้าในวันที่ 1 สิงหาคม อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของทองถูกจำกัดด้วยสัญญาณทางเทคนิคที่อยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าก็สร้างแรงกดดันต่อราคาทอง เพราะทำให้ทองแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อในต่างประเทศ สุดท้ายราคาทองปิดเดือนโดยแทบไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากนักลงทุนชั่งน้ำหนักระหว่างกำไรสะสมตั้งแต่ต้นปีที่พุ่งกว่า 25% กับสัญญาณเศรษฐกิจมหภาคที่ยังไม่แน่นอนในปัจจุบัน
ราคาทองอยู่ในช่วงปรับฐานหลังจากพุ่งแรงเมื่อต้นปี และยังเคลื่อนไหวอยู่ในรูปแบบ Ascending Triangle
ซึ่งตามโครงสร้างถือว่าเป็นขาขึ้น แต่ในระยะสั้น แรงกดดันกลับมาจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงบรรยากาศเชิงบวกในตลาดที่เกิดจากความคืบหน้าในการเจรจาการค้า ปัจจัยเหล่านี้กดดันให้ราคาทองถอยลงมาทดสอบแนวรับสำคัญบริเวณ 3,320 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นฐานของ Ascending Triangle หากหลุดแนวรับนี้ มีโอกาสเห็นแรงขายเพิ่มขึ้นอีก
ในภาพระยะกลาง รายงาน Wealth Insight ของทีม Wealth Research หลักทรัพย์บัวหลวง ระบุว่า มุมมองต่อทองคำยังคงเป็นบวก ปัจจัยมหภาคและโครงสร้างหลายด้านยังสนับสนุนแนวโน้มขาขึ้น เราคาดว่าปัจจัยทั้งทางภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายการคลัง และนโยบายการเงิน จะช่วยหนุนความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างแข็งแกร่ง ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน เรามองว่าทองมีโอกาสกลับไปทดสอบแนวต้านที่ 3,560 ดอลลาร์ หากสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้สำเร็จ จะเปิดทางให้ราคาขยับขึ้นไปสู่เป้าหมายถัดไปที่ 3,720 ดอลลาร์ในช่วงที่เหลือของปี ทั้งนี้มีปัจจัยบวกหลายประการที่สนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นของทองคำ
ประการแรก แม้ดัชนี CPI เดือนมิถุนายน จะออกมาต่ำกว่าคาดเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน แต่ในรายละเอียดกลับพบว่าราคาสินค้าหลายหมวดปรับขึ้นแรงที่สุดในรอบหลายปี เช่น ของเล่น เครื่องเรือน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์กีฬา
ซึ่งสะท้อนว่าบริษัทต่างๆ เริ่มทยอยส่งผ่านต้นทุนจากภาษีนำเข้าสู่ผู้บริโภค เมื่อราคานำเข้าสูงขึ้น กำลังซื้อครัวเรือนอาจอ่อนแรงลง และนำไปสู่การชะลอตัวของการบริโภค การลดลงของอุปสงค์นี้อาจกดดันโมเมนตัมเศรษฐกิจโดยรวมในที่สุด และยิ่งตอกย้ำบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนใช้ป้องกันความเสี่ยงทั้งจากเงินเฟ้อและความเป็นไปได้ของเศรษฐกิจชะลอตัว
ประการที่ 2 แนวโน้มด้านการคลังของเศรษฐกิจหลักทั่วโลกยังน่ากังวล หลายประเทศมีขาดดุลการคลังเกิน 5% ของ GDP แล้ว เช่น สหรัฐ และจีน ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพหนี้ในระยะยาว แม้สหภาพยุโรปจะยังคงขาดดุลต่ำกว่า 5% แต่แผนเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมคาดว่าจะผลักดันให้ตัวเลขขาดดุลสูงขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ความกดดันทางการคลังที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำความกังวลต่อความยั่งยืนของหนี้ และหนุนความต้องการถือทองคำ
เพื่อป้องกันความเสี่ยงระยะยาว
ประการที่ 3 ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นประเด็นหลัก ดัชนีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (GPR) ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยค่าเฉลี่ยในปี 67 และต้นปี 68 อยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวชัดเจน
ในเดือนมิถุนายน 2568 ดัชนี GPR แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่มีนาคม 2565 จากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน แม้ต่อมาความตึงเครียดจะผ่อนคลายลงชั่วคราวจากข้อตกลงหยุดยิง แต่ความเสี่ยงของการปะทุขึ้นอีกครั้งยังสูง เนื่องจากปัญหาหลักอย่างการเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านยังไม่ได้รับการแก้ไข ความไม่แน่นอนที่ดำรงอยู่ต่อเนื่องนี้ยิ่งตอกย้ำบทบาททองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยหลักท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์
ประการที่ 4 การซื้อทองคำของธนาคารกลางยังคงแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะเกิน 1,000 ตัน เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน สะท้อนการกระจายรูปแบบการถือครองสินทรัพย์สำรองไปสู่รูปแบบอื่นๆ นอกเหนือจากดอลลาร์ โดยเฉพาะธนาคารกลางจีนที่ซื้อทองต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ในเดือนมิถุนายน แม้ราคาจะอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แสดงให้เห็นถึงแรงขับเคลื่อนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความต้องการของภาครัฐ ปัจจุบันจีนถือทองเพียงราว 7% ของทุนสำรอง ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดเกิดใหม่ที่ราว 20% ทำให้ยังมีพื้นที่สะสมทองได้อีกมาก
ประการที่ 5 พฤติกรรมของนักลงทุนสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ฟื้นตัว การเก็งกำไรในตลาดฟิวเจอร์สทองเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ โดยสถานะ Net Long ซึ่งเป็นผลต่างระหว่างสัญญาซื้อกับขาย เคยพุ่งสูงสุดที่ 254,841 สัญญาในเดือนกันยายน 2567 จากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ก่อนจะค่อย ๆ ปรับลดลงสู่ค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 119,525 สัญญา และล่าสุดฟื้นขึ้นมาที่ 170,868 สัญญา ขณะเดียวกัน กระแสเงินไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทองกลับมาเป็นบวกติดต่อกันเป็นเดือนที่สองในเดือนก.ค.โดยเพิ่มขึ้น 0.7% จากเดือนก่อนหน้า การกลับทิศของกระแสเงินนี้จากการไหลออกในเดือนพฤษภาคม สะท้อนความสนใจของนักลงทุนสถาบันที่ฟื้นตัว และยิ่งหนุนบรรยากาศเชิงบวกของตลาดทองคำ