SCB FM มองกนง.มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อ-บาทแข็ง-ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่า
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส สายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps มาอยู่ที่ 1.50% ตามที่ตลาดคาด เพื่อให้ภาวะการเงินผ่อนคลายลงอีก เอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ และช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs และครัวเรือนรายได้น้อย
ทั้งนี้ ในการประชุมกรรมการให้น้ำหนักเรื่อง Financial stability และการเก็บ Policy space น้อยลง โดยลดความกังวลเรื่องการก่อหนี้ใหม่ และหันไปเน้นเรื่องการลดภาระหนี้ให้แก่ครัวเรือนและภาคธุรกิจ มากกว่า นอกจากนี้ กรรมการให้น้ำหนักเรื่องภาวะการเงินมากขึ้น โดยพบว่าสินเชื่อหดตัวต่อเนื่องตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น (โดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนรายได้ต่ำ) ขณะที่การชำระคืนหนี้ของธุรกิจขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ลดลงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ด้านคุณภาพสินเชื่อโดยรวมปรับด้อยลง ดังนั้น การลดดอกเบี้ยในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนการปรับตัวและลดภาระของภาคธุรกิจและครัวเรือนลงได้ หลังผลการประชุม เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับสูงขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 2 ปี ทรงตัว สะท้อนว่าผลการประชุมออกมาสอดคล้องกับที่ตลาดคาด
กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยต่ออีกอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ ซึ่งเป็นมุมมองที่สอดคล้องกับการ Price-in ในตลาด interest rate swap และมีโอกาสที่ terminal rate (จุดต่ำสุดของดอกเบี้ย) อาจอยู่ที่ 1% ได้ โดยในช่วงตอบคำถาม เลขาฯ กนง. กล่าวว่าคณะกรรมการไม่ปิดโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม แต่ประสิทธิผลของการลดดอกเบี้ยจะลดลงในเวลาที่อัตราดอกเบี้ยต่ำลง
ในระยะสั้น
ขณะที่เงินบาทอาจจะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าในกรอบ 32.00-32.50 เนื่องจาก 1) ตลาดได้คาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ กนง. ไว้แล้ว ทำให้การลดดอกเบี้ยต่อจากนี้ จะไม่ช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าได้มากนัก สะท้อนจากในวันนี้ ที่พบว่าเงินบาทกลับแข็งค่าขึ้นหลังการลดดอกเบี้ย 2) Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้ต่อเนื่องและมากกว่าธนาคารกลางอื่น ๆ จึงทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ อาจแคบลง ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าเทียบสกุลเงินภูมิภาค รวมถึงเงินบาท 3) เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าเอเชียต่อได้ จากเลขเงินเฟ้อที่ยังต่ำและแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่อได้ (ทำให้มี capital gains จากการถือครองพันธบัตรรัฐบาล) นอกจากนี้ ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานโลกเริ่มลดลง ซึ่งส่งผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงของเอเชีย 4) สหรัฐฯ มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า (Tariffs) มากกว่าประเทศอื่น เพราะ Tariffs ถูกเรียกเก็บเป็นวงกว้าง จึงทำให้สหรัฐฯ ต้องจ่ายราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ Term of trade (ToT) ของสหรัฐฯ ปรับแย่ลง (ราคาสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น มากกว่าราคาสินค้าส่งออก) ทำให้เงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง เพราะ ToT ที่แย่ลงทำให้รายได้ของสหรัฐฯ น้อยลง กดดันดุลบัญชีเดินสะพัดในระยะสั้นของสหรัฐฯ ให้ปรับลดลง
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO