ราคากาแฟ-ชาพุ่งแรง เหตุภาษีนำเข้า ฉุดผู้ประกอบการรายเล็กเสี่ยงอยู่ไม่รอด
ราคากาแฟและชาที่ยังพุ่งไม่หยุดในสหรัฐฯ กลายเป็นแรงกดดันใหม่ต่อผู้ค้าปลีกและผู้นำเข้า หลังข้อมูลจากสำนักสถิติแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่าราคากาแฟในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นถึง 14.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉลี่ยราคากาแฟคั่วบดอยู่ที่ 8.41 ดอลลาร์สหรัฐต่อปอนด์ ขณะที่มูลค่านำเข้าอาหารของสหรัฐฯ กว่า 74% หรือราว 1.63 แสนล้านดอลลาร์ กำลังถูกเก็บภาษีนำเข้า ส่งผลให้สินค้าหลายประเภทตั้งแต่เมล็ดกาแฟ ชาพิเศษ ไปจนถึงเครื่องเทศ แสดงสัญญาณเงินเฟ้อ แม้ดัชนีราคาผู้บริโภคหมวดอาหารจะทรงตัวเมื่อเทียบเดือนต่อเดือน แต่ราคายังสูงกว่าปีก่อนถึง 2.9%
เจ้าของร้านกาแฟ Bethany’s Coffee Shop ในรัฐเนบราสกา ระบุว่าต้นทุนกาแฟของร้านเพิ่มขึ้น 18%-25% ตั้งแต่ต้นปี จนต้องเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่ม 3% ชั่วคราวระหว่างรอพิมพ์เมนูใหม่ แต่ก็ยอมรับว่าราคาปรับตัวเร็วเกินกว่าจะปรับเมนูได้ทัน นอกจากกาแฟ ร้านยังเผชิญต้นทุนอะโวคาโดและมะเขือเทศที่สูงขึ้น ทำให้ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มขนาดเล็กที่มีพนักงานหลายสิบคนต้องตัดสินใจขึ้นราคาเพื่อประคองธุรกิจ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระบุว่า สำหรับสินค้าที่ไม่สามารถผลิตในประเทศได้ เช่น กาแฟหรือมะพร้าวน้ำหอม ผู้ประกอบการไม่มีทางเลือกนอกจากนำเข้าจากต่างประเทศ แม้จะเปลี่ยนแหล่งซื้อก็ยังเจอภาษีอยู่ดี สะท้อนข้อจำกัดที่ทำให้ธุรกิจเล็กติดกับดักต้นทุน
ผู้ประกอบการชาและเครื่องเทศหลายราย เช่น Anjali’s Cup เผยว่าแทบทุกวัตถุดิบหลักต้องนำเข้าจากอินเดีย เวียดนาม แอฟริกา และอเมริกาใต้ โดยชาอัสสัมจากอินเดียที่ใช้ทำชาคอนเซนเทรตไม่มีแหล่งทดแทน และถูกเก็บภาษีสูงถึง 50% ทำให้ต้องเผชิญแรงกดดันเพิ่มราคา ทั้งที่คู่แข่งรายใหญ่มีอำนาจต่อรองมากกว่า ขณะเดียวกันบรรจุภัณฑ์ซึ่งผลิตในจีนก็มีต้นทุนสูงขึ้น แม้จะหันไปใช้ทางเลือกอื่น แต่เจ้าของยืนยันว่าจะไม่ลดคุณภาพวัตถุดิบ เพราะเป็นหัวใจของแบรนด์
นักวิเคราะห์จาก KPMG เตือนว่าผลกระทบจากภาษีอาจลุกลามไปยังสินค้าหลากหลายบนชั้นวางซูเปอร์มาร์เก็ต และยิ่งรุนแรงขึ้นหากรวมกับการปรับลดงบประมาณโครงการ SNAP ซึ่งเป็นสวัสดิการอาหารสำหรับผู้มีรายได้น้อย อาจทำให้สินค้าบางชนิดที่เคยมีขายตลอดทั้งปี เช่น บลูเบอร์รี่ ต้องหายไปจากตลาดบางช่วง
สินค้าที่ไม่ปลูกในสหรัฐฯ และเผชิญภาษีเพิ่ม ยังรวมถึงผลไม้ตระกูลกล้วยและกีวี ซึ่งทั้งหมดนี้จะกดดันทั้งผู้ผลิต ร้านค้า และผู้บริโภคในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน ผู้ประกอบการเตือนว่าหากสินค้าที่มีคุณภาพและความเป็นเอกลักษณ์หลุดออกจากตลาด สหรัฐฯ อาจสูญเสียความหลากหลายทางรสชาติและความมีชีวิตชีวาของตลาดไปอย่างถาวร