เศรษฐกิจไทยเดือดดาลดั่งงูไฟ การเมืองกดดัน หลัง นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว
ดร.อมรเทพ ซีไอเอ็มบี ไทย มอง เศรษฐกิจไทยไตรมาสสาม เดือดดาลดั่งงูไฟ การเมืองกดดันเศรษฐกิจ หลัง นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว
1ก.ค.2568 ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยกำลังก้าวเข้าสู่ครึ่งหลังของปีงู ด้วยการเผชิญเรื่องร้อนๆ อย่างเต็มแรง และเสี่ยงเติบโตช้าลงช่วงครึ่งปีหลัง แต่สำนักวิจัยฯ ยังคงคาดการณ์ GDP ปี 2568ไว้ที่ 1.8% แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับการคาดการณ์ไปสู่ระดับ 2.3% จาก 2.0% จากแรงส่งที่แรงกว่าคาดของ GDP ไตรมาส 1 ที่ขยายตัวถึง 3.1% และส่งที่เติบโตได้ดี แต่หากพิจารณาสถานการณ์ไตรมาส 2 และแนวโน้มไตรมาส 3 แล้ว ยากจะเชื่อมั่นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เพราะความเดือดดาลทางการเมืองระหว่างประเทศและในประเทศค่อนข้างฉุดรั้งความเชื่อมั่น นอกจากนี้ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 1.50% ปลายไตรมาส 3 และ 1.25% ปลายปีนี้ ส่วนค่าเงินบาทน่าอยู่ที่ระดับ 32.90 ปลายไตรมาส 3 และ 33.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐสิ้นปีนี้
[caption id="attachment_181724" align="aligncenter" width="800"]
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย[/caption]
เศรษฐกิจไทยชะงักงัน
เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกเติบโต 3.1% จากกรณีพิเศษ จึงไม่อยากให้ดีใจมากนัก ทั้งมาจากมาตรการแจกเงินภาครัฐ และการเร่งส่งออกไปสหรัฐก่อนมาตรการภาษี แต่ย่างเข้าไตรมาส 2 เริ่มเห็นความเสี่ยงปะทุเข้ามาจากปัจจัยสงครามการค้า ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และปัญหาเสถียรภาพการเมืองในประเทศ ทั้งนี้ คาดว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสเทียบไตรมาสไม่น่าจะขยายตัวเลย แต่ไตรมาส 2 ปีนี้เทียบปีก่อน น่าจะขยายตัว 2.2% ซึ่งสภาพัฒน์ฯจะรายงานตัวเลขเศรษฐกิจอีกครั้งวันที่ 18 สิงหาคม ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะชะงักงันลากยาวตลอดทั้งปี ส่งผลให้เศรษฐกิจไตรมาส 3 และ 4 แบบ YoY จะโตเพียง 1.1% และ 0.7% ตามลำดับ เป็นที่มาของการยืนคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่ 1.8% เทียบปีก่อนที่ 2.5% แล้วปัจจัยเสี่ยงมาจากไหนบ้าง
แผ่นดินไหวทำการก่อสร้างทรุดลากยาว
เหตุการณ์แผ่นดินไหวปลายมีนาคมส่งผลกระทบแรงกว่าที่คาด การก่อสร้างภาคอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมหยุดชะงักหรือแทบไม่มีโครงการใหม่ออกมาเลยในช่วงไตรมาส 2 และน่าจะลากยาวไปตลอดไตรมาส 3 ทั้งปัญหาความเชื่อมั่นการอยู่อาศัยในตึกสูง ความกังวลด้านความเสี่ยงสินเชื่อ ปัญหาผู้ประกอบการขาดสภาพคล่อง อุปทานส่วนเกินยังล้นตลาด อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยสูงขึ้น และกำลังซื้อต่างชาติที่เคยเป็นแรงหนุนของตลาดก็หดหายไปตามสภาพเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนด้วย
ทั้งนี้ การก่อสร้างภาคเอกชนมีโอกาสหดตัวตลอดทั้งปี กระทบการจ้างงานและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ผู้ประกอบการหั่นราคาเพื่อระบายห้องชุดเพื่อตุนสภาพคล่อง กระทบราคาตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมและคุณภาพสินเชื่อในอนาคต จึงต้องระวังสงครามราคาที่อยู่อาศัย แต่จุดที่เป็นโอกาส คือคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนปล่อยเช่าที่มีทำเลที่ดี ได้แก่ คอนโดมิเนียมใกล้แนวรถไฟฟ้าสายหลัก เช่น สายสีเขียว หรือสีน้ำเงิน หรือคอนโดมิเนียมตามโซนเมืองชั้นในและชั้นกลาง ที่ราคาน่าสนใจ เช่น ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต ก็พอสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ หรือหากลงทุนเพื่ออยู่อาศัยเองก็น่าหาแนวรถไฟฟ้าราคา 3-5 ล้านบาทต่อยูนิต ที่นอกจากจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากสงครามราคารอบนี้แล้ว ปัญหาในการขอสินเชื่อสำหรับกลุ่มนี้ก็จะค่อนข้างน้อยด้วย
ส่วนกลุ่มบ้านแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ที่แม้จะไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวเหมือนกับคอนโดมิเนียม แต่ตลาดเองก็กลับอยู่ในทิศทางที่หดตัวลงไม่ต่างกัน ส่วนหนึ่งมาจากอุปสงค์ที่ชะลอลงลากยาวมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างภาคเอกชน ในส่วนของภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงงาน นิคมอุตสาหกรรม หรือโกดังสินค้าอาจจะยังพอไปได้ ด้วยทิศทางของ FDI ที่โมเมนตัมดีต่อเนื่องจากปีก่อนและขยายตัวได้ในไตรมาสแรก นับเป็นความหวังของการก่อสร้างภาคเอกชน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์กลุ่มที่อยู่อาศัย อยู่ในช่วงน่าเป็นห่วงและอาจยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในเร็ววัน
ตลาดรถยนต์ใหม่ยังไร้ทางออก
ยอดขายรถยนต์ใหม่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากปีก่อน โดยยอดขายรถยนต์ส่วนบุคคลปีนี้น่าจะอยู่ที่ราว 530,000 คันลดลงจาก 572,675 คันในปีก่อน ขณะที่กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอ การปล่อยสินเชื่อเข้มงวดตามปัญหาด้านเครดิตของผู้กู้ ขณะที่สัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเพิ่มขึ้นที่ราว 14% ของรถยนต์ส่วนบุคคลทั้งหมด เทียบกับปีก่อนหน้าที่ 12% และมีแนวโน้มว่าสัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากยอดขายรถยนต์ประเภทสันดาปหดตัวแรงกว่ารถ EV และต้องติดตามปัญหาสงครามราคารถ EV ว่าจะมีต่อเนื่องปีนี้หรือไม่ ซึ่งจะยิ่งทำให้ยอดขายรถยนต์สันดาปทั่วไปลดลงอีกได้จากการขาดแรงจูงใจเมื่อเทียบรถ EV ขณะที่ตลาดรถยนต์มือสองอาจเผชิญปัญหายอดขายซบเซา เนื่องจากคนเลือกที่จะใช้รถเก่านานขึ้นหรือเลื่อนการเปลี่ยนรถ ประกอบกับการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวด อย่างไรก็ดี ยังมีโอกาสในตลาดรถยนต์มือสองจากการที่คนหันมาซื้อรถยนต์มือสองในช่วงอายุต่ำกว่า 5 ปีแทนการออกรถยนต์ใหม่ ด้วยเหตุผลด้านกำลังซื้อ ตลาดนี้จึงมีโอกาสในกลุ่มมนุษย์เงินเดือนและกลุ่มที่มีเครดิตดีพร้อมกู้เท่าที่จำเป็น สำหรับประเภทรถยนต์มือสองที่มีศักยภาพ คือ รถยนต์นั่ง (Sedan) และรถตู้ (Passenger Van) ในพื้นที่หัวเมืองหลักและเมืองท่องเที่ยวสำคัญ
การท่องเที่ยว – พระเอกที่หลบซีน
นักท่องเที่ยวจีนหายไปราว 33% ช่วง 5 เดือนแรก นักท่องเที่ยวมาเลเซียเริ่มลดลง แม้นักท่องเที่ยวอินเดียและรัสเซียจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ไม่อาจชดเชยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนได้ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้ 34.5 ล้านคน ลดลงจาก 35.5 ล้านคน แม้รายจ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้น แต่การท่องเที่ยวไม่ใช่ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจ ทั้งนี้ พื้นที่กรุงเทพน่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดตามด้วยพัทยาและเชียงใหม่ เพราะเป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวจีน ส่วนโซนภาคใต้ โดยเฉพาะภูเก็ต กระบี่ และสมุย น่าจะยังฟื้นตัวต่อได้ช่วงปลายปีซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของชาวยุโรป
การที่รายได้ท่องเที่ยวแทบไม่เติบโต จะกระทบต่อกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร การใช้จ่ายด้านอาหาร เครื่องดื่ม ขนส่ง ค้าปลีกและค้าส่ง ซึ่งการแข่งขันและต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น มาตรการท่องเที่ยวเมืองรองทำได้เพียงประคองสถานการณ์ไม่ให้ทรุดไปมากกว่านี้
หากเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยที่ใช้จ่ายน้อย ก็พอจะชดเชยกลุ่มนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์จากจีนที่หายไปได้บ้าง และกลุ่มโรงแรมประเภทสามดาวหรือโรงแรมประเภทประหยัดน่าได้ประโยชน์ แต่สิ่งที่จะช่วยฟื้นฟูการท่องเที่ยวได้ดีน่าจะมาจากการเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว สร้างความปลอดภัยในประเทศ ปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดกับผู้กระทำผิดต่อนักท่องเที่ยว พร้อมกับหาเส้นทางบินใหม่ๆ และลดข้อจำกัดด้านวีซ่าแก่นักท่องเที่ยว
การเมืองกดดันเศรษฐกิจ หลัง นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว
ความไม่แน่นอนทางการเมืองกำลังกดดันเศรษฐกิจไทย 3 เรื่องหลัก ได้แก่
(1) ความเชื่อมั่นภาคเอกชนถดถอย ส่งผลให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศชะลอการลงทุน อีกทั้งเอกชนอาจระมัดระวังมากขึ้นโดยเฉพาะโครงการที่ต้องพึ่งพางบประมาณภาครัฐ โดยเฉพาะภาคการก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลสามารถรักษาเสถียรภาพและความต่อเนื่องของนโยบายได้ ความเชื่อมั่นอาจไม่ลดลงมากนัก แต่ให้ระวังเสถียรภาพรัฐบาลหากพรรคร่วมมีแรงกดดันให้ทบทวนจุดยืนหรือเกิดการถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล อาจนำไปสู่การยุบสภาในที่สุด แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่ผลกระทบในระยะสั้นในทันที
(2) การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจอาจจำกัดขึ้น แม้การหยุดปฏิบัติหน้าที่ของ นายกฯ ไม่น่ามีผลต่อการเบิกงบประมาณรายจ่าย โดยเฉพาะการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากรัฐบาลยังมีอำนาจเต็ม ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการระหว่างรอเลือกตั้ง รองนายกฯ สามารถผลักดันโครงการต่างๆ ได้ แต่การตอบสนองต่อเงินจากมาตรการทางการคลังที่ใส่ไปในระบบเศรษฐกิจอาจมีประสิทธิผลน้อยลงหากความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่หากการเมืองเดินหน้าไปสู่การยุบสภาฯ ก็อาจกระทบต่องบประมาณในปี 2569 ที่อาจล่าช้ากระทบเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4 ถึงไตรมาส 2 ปีหน้า และ
(3) ผลกระทบต่อการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเจรจาให้สหรัฐลดอัตราภาษีนำเข้าจากไทย แม้อาจจะไม่กระทบในระยะสั้น ซึ่งตัวแทนการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐน่าจะได้พบคุยกันตามกำหนดการเดิม แต่ห่วงว่าสหรัฐอาจใช้ประเด็นเสถียรภาพการเมืองไทยในการต่อรองเงื่อนไขทางการค้ามากขึ้น สำหรับทางออก รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งสร้างความชัดเจนเรื่องการปรับเปลี่ยนผู้นำประเทศ ด้วยการแสดงวิสัยทัศน์และแผนงานที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้การเมืองกลายเป็นตัวฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงเวลาสำคัญนี้