SCGPคงเป้าEBITDAปีนี้ 1.8หมื่นล. เร่งปิดดีลM&Pเพิ่มอีก 1โครงการ
SCGP คงเป้าEBITDAปี68อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท แม้ครึ่งปีแรกมีEBITDA 8,489ล้านบาท เร่งปิดดีลM&Pอย่างน้อย 1โครงการในครึ่งปีหลังนี้ พร้อมรับมือภาษีทรัมป์ ยันได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนผลดำเนินงาน 6เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 1,910 ล้านบาท ลดลง 40% ไฟเขียวจ่ายปันผลระหว่างกาลอัตรา 0.25 บาท/หุ้น
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่าในปี2568 บริษัทยังเติบโตต่อเนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นแม้ว่าราคาขายธุรกิจสายบรรจุภัณฑ์แบบคนบวงจรและธุรกิจเยื่อและกระดาษปรับลดลงตามแนวโน้มตลาดในภูมิภาค แต่คงเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย(EBITDA)ที่ตั้งไว้ 18,000 ล้านบาท แม้ว่าครึ่งปีแรกบริษัทมีEBITDA อยู่ที่ 8,489 ล้านบาท เนื่องจาก Fajar ซึ่งเป็นบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซียมีผลดำเนินงานดีขึ้น
โดยแนวโน้มตลาดบรรจุภัณฑ์ในครึ่งปีหลังมองว่าอาเซียนจะมีความต้องการบรรจุภัณฑ์ภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค จากการกระตุ้นเศรษฐกิจและคาดการณ์จีดีพีเติบโตสูงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ รวมถึงการเติมสต๊อกสินค้าในช่วงสิ้นปี ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) และค่าขนส่ง มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามความต้องการในภูมิภาคที่ปรับดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามผลกระทบจากมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) จากประเทศที่ยังไม่มีข้อสรุปรวมถึงไทย
แต่หากไทยถูกจัดเก็บภาษีReciprocal Tariff ที่ 25% เป็นอัตราที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่มีความได้เปรียบด้านภาษีที่เอื้อต่อการแข่งขันอย่างเวียดนามอยู่ที่ 20% อินโดนีเซีย 19% บริษัทก็จะอาศัยฐานการผลิตในประเทศอาเซียนไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม อินโดนีเซียเพื่อการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ แต่ทั้งนี้สินค้าบรรจุภัณฑ์จะไปพร้อมกับสินค้าลูกค้า ดังนั้นการลดต้นทุนจะช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้น
“ SCGP มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ ประมาณร้อยละ 4 ของรายได้รวม ผ่านการส่งออกสินค้าเพื่อผู้บริโภค ทำให้มีผลกระทบจำกัด อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกเพิ่มการขายบรรจุภัณฑ์ภายในประเทศในอาเซียน และส่งออกไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย บังคลาเทศ ออสเตรเลีย เป็นต้น พร้อมใช้จุดแข็งจากห่วงโซ่การผลิตที่ยืดหยุ่น ฐานการผลิตที่หลากหลายในอาเซียน ครอบคลุมพอร์ตสินค้าและโซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ที่สามารถผสานการผลิตและวัตถุดิบ รวมถึงวางแผนร่วมกับลูกค้า”
ส่วนผลกระทบจากการปะทะที่ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา บริษัทได้รับผลกระทบน้อยมาก เนื่องจากไม่มีฐานการผลิตในกัมพูชาและเมียนมา ดังนั้นสินค้าบรรจุภัณฑ์จะไปพร้อมกับสินค้าลูกค้าที่เดิมเคยส่งออกทางบกผ่านทางด่านชายแดน ก็เปลี่ยนไปส่งออกทางเรือแทน
นายวิชาญ กล่าวว่า บริษัทได้ปรับลดงบลงทุนในปี2568 จากเดิมที่ตั้งไว้ 13,000 ล้านบาท ลงเหลือ 10,000 ล้านบาท โดย 6 เดือนแรกปีนี้ใช้งบลงทุนไปแล้วราว 6,000ล้านบาท เป็นการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีก30%รวมเป็น 100%ใน Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) ประเทศเวียดนาม วงเงิน 3,727ล้านบาท โดยSCGPคาดว่าในครึ่งปีหลังนี้จะปิดดีลการร่วมลงทุน(M&P )อย่างน้อย 1 โครงการ
ส่วนความคืบหน้าแผนตั้งโรงงานบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูป (Rigid Packaging) ที่สหรัฐอเมริกานั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรหนึ่งราย และรอความชัดเจนการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯต่อสินค้านำเข้าจากประเทศไทยจะเป็นอัตราเท่าไร จากที่ได้กำหนดไว้ 36%
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2568 SCGP มีรายได้จากการขาย 31,557 ล้านบาท ลดลง 2%เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน และมี EBITDA 4,257 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1 % และมีกำไรสำหรับงวด 1,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12%เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2568
สำหรับงวดครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 63,766 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,910 ล้านบาท ลดลง 40% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA อยู่ที่ 8,489 ล้านบาท ลดลง 13% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ SCGP ได้วางกลยุทธ์เติบโตภายในประเทศอาเซียนอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการตลาดเชิงรุกผ่านโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ส่งผลให้ปริมาณการขายสินค้ากลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร โดยเฉพาะในเวียดนามเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ราคาส่วนใหญ่ยังทรงตัว ส่วนกลุ่มธุรกิจเยื่อและกระดาษ ปริมาณการขายลดลงจากความต้องการที่ชะลอตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้เน้นบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ด้วยการใช้ AI และ Machine Learning ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า โดยเฉพาะธุรกิจในอินโดนีเซียที่เริ่มนำ AI มาปรับใช้ และปรับสัดส่วนการใช้พลังงาน รวมถึงเพิ่มการใช้วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) ภายในประเทศ
นายวิชาญ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 อัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,073 ล้านบาท โดยจะขึ้น XD วันที่ 8 สิงหาคม 2568 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 และเตรียมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลวันที่ 27 สิงหาคม 2568
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO