สแกนหุ้น SET50 “พุ่งแรง-ร่วงหนัก” 7 เดือนแรก หลังตลาดผันผวนหนัก
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นในกลุ่ม SET50 ในรอบ 7 เดือนแรกของปี 2568 โดยเทียบราคาปิดวันที่ 30 ธันวาคม 2567 กับราคาปิดล่าสุด 31 กรกฎคม2568 เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในช่วงดังกล่าว ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นไทย
โดยเห็นได้จากช่วงดังกล่าวดัชนี SET ปรับตัวลดลงแล้วกว่า 12% ขณะที่ดัชนีกลุ่ม SET50 ปรับตัวลดลงกว่า 11% จากแรงกดดันทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ โดยเฉพาะเงินทุนต่างชาติที่ไหลออกอย่างต่อเนื่อง จากความไม่แน่นอนเรื่องการค้าโลก นโยบายภาษีของสหรัฐฯ และทิศทางดอกเบี้ยที่ยังไม่คลี่คลาย
ทั้งนี้แม้ภาพรวมดัชนีจะเป็นลบแต่ยังมีหุ้นบางตัวในกลุ่ม SET50 ที่สามารถปรับตัวขึ้นได้สวนตลาด โดยเฉพาะหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ เช่น ราคาน้ำมัน หรือผลประกอบการที่แข็งแกร่ง อาทิ TOP, SCC, SCB, PTTEP, KKP, KTB, PTT, OR, KBANK, TTB, TIDLOR, ADVANC, TISCO
โดย บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ราคาหุ้นวิ่งนำกลุ่ม 22.12% โดยราคาปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 34.50 บาท(ณ 31 ก.ค.68) จากที่อยู่ระดับ 28.25 บาท (ณ 30 ธ.ค.68)
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (KTX) คาดว่า TOP กำไรปกติในไตรมาส 2 ปี 2568 (2Q25E) จะอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ทรงตัว YoY) แต่เติบโต 44% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
ทั้งนี้การฟื้นตัวของผลประกอบการหลักมาจากค่าการกลั่นตลาด (market GIM) ที่คาดว่าจะฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ 7.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 31% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีแรงหนุนจากค่าการกลั่นที่ดีขึ้นตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ฟื้นตัว
ขณะเดียวกัน คาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นจะอยู่ในระดับสูงถึง 113% ส่วนกลุ่มอะโรเมติกส์และน้ำมันหล่อลื่นจะอยู่ที่ระดับ 75% และ 76% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนถึงการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง
ด้านหุ้นที่ปรับลดลงแรงล้วนได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบเฉพาะตัวและภาวะตลาดผันผวนหนัก อาทิ KTC, BTS, VGI, AWC, CRC, WHA, CCET, AOT, CBG ,LH
สำหรับบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ราคาร่วงมากสุดในกลุ่ม 43% โดยราคาปรับลงมาอยู่ที่ระดับ 28.50 บาท (ณ 31 ก.ค.68) จากที่อยู่ระดับ 50.00 บาท (ณ 30 ธ.ค.68) ราคาหุ้นอ่อนตัวลงแรงเนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีประเด็น MSCI ประกาศผลการปรับทบทวนรายชื่อหุ้นรอบเดือนพฤษภาคม โดย KTC ถูกถอดออกจากดัชนี MSCI Global Standard Index โดยโบรกประเมินว่าการปรับดัชนีครั้งนี้จะส่งผลให้เกิด เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย
นอกจากนี้มีรายงานกระแสข่าวว่า อาจเกิดจากการถูกบังคับขายหลักทรัพย์ (Force Sell) ของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หลังราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่องจนเข้าเงื่อนไขตามที่บริษัทหลักทรัพย์กำหนด
อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวจากกองทุนรวมมองว่า สถานการณ์หุ้น KTC ปรับตัวลงแรงต่อเนื่อง มองเป็นจังหวะเหมาะในการเข้าไปลงทุนเพิ่ม ด้วยปัจจัยพื้นฐานดีมีความแข็งแกร่งในหลายด้าน
ขณะที่ทางผู้บริหาร KTC ได้ออกมาแสดงวิสัยทัศน์ถึงเป้าหมายผลักดันธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง รวมถึงผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ KTC ยังมีความแข็งแกร่งกว่าคู่เทียบในตลาด
ดังนั้นการปรับตัวลงของราคาหุ้น KTC ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานของตัวธุรกิจ จึงเป็นจังหวะเข้าลงทุนเพิ่มสำหรับกลุ่มกองทุนต่าง ๆ ส่วนการรับมือความตื่นตระหนกของผู้ถือหุ้นนั้นคงต้องเน้นย้ำถึงเป้าหมายธุรกิจและความแข็งแกร่งของธุรกิจให้นักลงทุนทราบอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์มองว่าทิศทางตลาดครึ่งปีหลังยังขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ อาทิ การประกาศผลประกอบการ บจ. ไตรมาส 2/68 และแนวโน้มในไตรมาส 3 การปรับประมาณการ GDP ไทย หลังได้ข้อสรุปภาษีนำเข้าสหรัฐที่ 19% รวมทั้งความชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐ และสัญญาณจาก Fed หรือ แบงก์ชาติในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
หากรัฐบาลสามารถผลักดันมาตรการเชิงรุกได้จริงในช่วงปลายไตรมาส 3/68 และช่วงที่เหลือของปีนี้ แนวโน้มตลาดหุ้นไทยน่าจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง