ทรัมป์ได้ภาษี แต่คนอเมริกันได้ของแพง! คาดเงินเฟ้อสหรัฐพุ่ง ‘ภายในปลายปีนี้’
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า เมื่อใกล้เส้นตายที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” กำลังจะบังคับใช้อัตราภาษีตามที่ต้องการแล้ว เหล่าบริษัทต่างๆ ก็เตรียม “ผลักภาระนี้” ไปให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันเช่นกัน
ตลอดช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ผู้ค้าปลีกรายใหญ่และผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคต่างเตือนว่า การจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้า จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการดำเนินธุรกิจของพวกเขา บังคับให้ต้องเลือกระหว่าง “ผลกำไรลดลง” หรือ “ส่งต่อต้นทุนที่สูงขึ้นให้กับลูกค้า”
เริ่มจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านบรรจุภัณฑ์ ซึ่งผลิตสินค้าจำเป็นในครัวเรือนตั้งแต่กระดาษทิชชูยี่ห้อ Bounty ไปจนถึงผงซักฟอกยี่ห้อ Tide ได้ออกประกาศแนวโน้มที่ไม่สู้ดีนักสำหรับปี 2025 และส่งข้อความถึงผู้ค้าปลีกรายใหญ่อย่าง Walmart ว่า บริษัทจะต้อง “ขึ้นราคาสินค้า” บางรายการในสหรัฐตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
ความท้าทายที่บริษัทต่าง ๆ กำลังเผชิญอยู่ในไตรมาสที่จะถึงนี้ มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบไปถึงผู้บริโภคทั่วไป โดย P&G เผยว่า จะปรับขึ้นราคาสินค้าประมาณหนึ่งในสี่ของผลิตภัณฑ์ในสหรัฐ เพื่อช่วยชดเชยต้นทุนมาตรการภาษีใหม่
ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ โดยมีสาเหตุมาจากการลงทุนมหาศาลในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและเอไอ แต่ “บริษัทชั้นนำด้านสินค้าอุปโภคบริโภค” หลายแห่งกลับประสบปัญหา
นับตั้งแต่ทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา หุ้นสินค้าอุปโภคบริโภคอย่าง P&G ปรับตัวลดลง 19% Nestle ลดลง 20% Kimberly-Clark สูญเสียไป 11% และ PepsiCo ลดลงเกือบ 7% ในขณะที่ดัชนีหุ้น S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีมาตรฐาน ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 13%
อันที่จริง บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่มต่างประสบปัญหาด้านยอดขายที่ซบเซามาตั้งแต่ช่วงระบาดโควิด-19 แล้ว เนื่องจากผู้บริโภคไม่เต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นสำหรับอาหารบรรจุหีบห่อที่เป็นแบรนด์ดัง ซึ่ง Nestle กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ผู้บริโภคในอเมริกายังคงลังเลที่จะจ่ายเงินมากขึ้น เมื่อชำระเงินที่แคชเชียร์
บิล จอร์จ อดีตประธานและซีอีโอของ Medtronic และอาจารย์ด้านการศึกษาผู้บริหารของ Harvard Business School กล่าวว่า “คุณจะได้เห็นบริษัทอย่าง Walmart, Amazon และ Best Buy ถูกบีบให้ต้องผลักภาระการขึ้นราคาไปสู่ผู้บริโภค”
“ชาวบ้านทั่วไป ยังไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษี แต่นี่กำลังจะสูงขึ้นไปอีก”
ในระหว่างวันที่ 16-25 กรกฎาคม บริษัทต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบติดตามภาษีของรอยเตอร์ถูกคาดการณ์ว่า จะขาดทุนรวมกัน 7,100-8,300 ล้านดอลลาร์สำหรับปีเต็ม
ค่ายรถ GM, Ford และผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ ได้แบกรับต้นทุนภาษีซึ่งรวมแล้วเป็น “พันล้านดอลลาร์” จนถึงขณะนี้
ทั้งนี้ หลายบริษัทได้ขนส่งสินค้าและวัตถุดิบเข้าสหรัฐเพิ่มขึ้นก่อนที่ภาษีจะเริ่มมีผล นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ประเมินว่า “การกักตุนสินค้า” ช่วยให้บางบริษัทสามารถชะลอการขึ้นราคาได้จนถึงช่วงปลายปี และอธิบายว่า ทำไมภาษีจึงยังไม่ปรากฏในข้อมูลอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ
แอนดรูว์ วิลสัน รองเลขาธิการหอการค้าระหว่างประเทศ คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะเริ่มปรากฏเมื่อบริษัทต่าง ๆ ระบายสินค้าคงคลังหมดลง แต่สิ่งนั้นอาจจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึง “ไตรมาสที่สี่” หรือ “ไตรมาสแรกของปีหน้า”
อย่างไรก็ตาม แบรนด์อื่น ๆ อย่าง EssilorLuxottica ผู้ผลิต Ray-Ban ได้ขึ้นราคานำไปแล้ว ส่วน Swatch ผู้ผลิตนาฬิกาและเครื่องประดับสัญชาติสวิส ขึ้นราคาประมาณ 5% หลังจากทรัมป์ประกาศภาษีในเดือนเมษายน ซึ่งแบรนด์ระดับไฮเอนด์อย่างเช่นนาฬิกา Tissot จะมีความอ่อนไหวต่อราคาที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่า
อ้างอิง: reuters