รัฐบาลญี่ปุ่น หนุนปลูกข้าวแก้ปัญหาราคาแพง
ปัญหาข้าวสารราคาแพงในญี่ปุ่นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชาวญี่ปุ่นเท่านั้น แต่มีผลถึงนักท่องเที่ยวจำนวนมากด้วย เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมที่ชาวต่างชาติชอบไปเที่ยว โดยพบว่าปัจจุบันราคาอาหารแพงขึ้น แม้ผลกระทบสำหรับนักท่องเที่ยวอาจมีไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่ไปเที่ยวไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ แต่ผลกระทบกับชาวญี่ปุ่นเองถือว่ามีมาก เพราะค่าครองชีพในแต่ละวันที่สูงขึ้นมาก
นับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ราคาข้าวในญี่ปุ่นสูงขึ้นเป็นเท่าตัวและค่อนข้างขาดแคลน จนต้องระบายข้าวสำรองในคลังออกมา และนำเข้าข้าวจากต่างประเทศเพิ่มเติม ซึ่งก็ช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง แต่ในความเห็นของเจ้าของร้านขายข้าวสารและชาวญี่ปุ่นมองว่าไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุด
ปัญหาอยู่ที่ตลอดช่วง 50 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นให้เงินอุดหนุนแก่เกษตรกรในการปลูกพืชชนิดอื่นที่ไม่ใช่ข้าว เพื่อป้องกันไม่ให้มีผลผลิตข้าวมากเกินไปและมีราคาตกต่ำ ซึ่งกลับกลายเป็นผลเสียเมื่อปีที่แล้ว เมื่อกระทรวงเกษตรญี่ปุ่นคาดการณ์ปริมาณผลผลิตข้าวในปี 2023 ผิดพลาด สภาพอากาศแล้งทำให้ผลผลิตลดลง ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนข้าวอย่างรุนแรงในเดือนสิงหาคม ราคาข้าวในญี่ปุ่นจึงพุ่งสวนทางราคาข้าวในตลาดโลกที่ตกต่ำ โดยในช่วงหนึ่งราคาข้าวถุง 5 กิโลกรัม พุ่งไปแตะถึง 4,200 เยน หรือประมาณ 900 บาท เทียบกับราคาข้าวหอมมะลิบ้านเราซึ่งอยู่ที่ประมาณ 140-250 บาท ถือว่าแพงมาก แม้แต่ราคาข้าวในคลังสำรองที่รัฐบาลญี่ปุ่นระบายออกสู่ตลาดก็ยังสูงถึงถุงละ 2,000 เยน หรือประมาณ 450 บาท และยังหาซื้อยากด้วย
การนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับชาวญี่ปุ่น ซึ่งนิยมบริโภคข้าวภายในประเทศ ในที่สุด รัฐบาลญี่ปุ่นก็หันมาส่งเสริมให้เกษตรกรกลับมาปลูกข้าวอย่างจริงจังอีกครั้ง หากมีปริมาณมากก็ส่งออก หากปีไหนผลผลิน้อย แต่ความต้องการภายในประเทศมีสูงก็ลดการส่งออก บริหารทั้งราคาไม่ให้แพงหรือต่ำเกินไป ชาวนาและครอบครัวจะได้ไม่ต้องยกเลิกอาชีพไปทำงานอื่น ๆ เหมือนที่เป็นมาตลอดหลายปี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง