ทุกคนมีสิทธิรวยแต่ต้องเริ่มจาก “วิธีคิดที่ถูก” กฎเหล็ก 3 ข้อ ลงทุนสไตล์ ซีเค Fastwork
ในวันที่โลกเต็มไปด้วยข่าวสาร โซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลกับการใช้ชีวิต และด้วยเนื้อหาที่ถาโถมเข้ามานี้ ก็มีเรื่องราวของการลงทุนโผล่ขึ้นมาทุกวัน แล้วอะไรคือเรื่องจริง? อะไรควรเชื่อ อะไรไม่ควรเชื่อ?
Thairath Money ได้พูดคุยหาคำตอบกับ ซีเค เจิง ซีอีโอของ Fastwork ในประเด็น “Influencer เล่าเรื่องวางแผนการเงินดี ชีวิตดี” สรุปประเด็นจากงาน Thairath Money Roadshow 2025 ที่รอบนี้จัดขึ้น ณ เซ็นทรัลเวิลด์ ที่ได้มาไขข้อสงสัยในการลงทุนสไตล์ ซีเค เจิง ที่ยึดกฎเหล็ก 3 ข้อ พร้อมแชร์แนวคิดการลงทุนแบบคนจริงที่ไม่ตามกระแส แต่กล้าคิดต่างอย่างมีเหตุผล
กฎเหล็ก 3 ข้อ การลงทุนสไตล์ซีเค เจิง
บนเวที ซีเค ได้กล่าวถึง 3 กฎเหล็กข้อที่เป็นแนวทางในการลงทุน ได้แก่
- มีวินัยทางการเงิน
วินัยทางการเงินแบบฉบับของซีเคจะมีอยู่ 2 ระดับตามช่วงชีวิตที่เปลี่ยนไป คือ “ช่วงมีรายได้ และช่วงที่มีเงินเก็บ” กล่าวคือ เมื่อเรามีเงินมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน หรือรายได้ช่องทางใด นั่นเท่ากับว่าเราจะต้องใช้เงินมากขึ้นเช่นกัน ตามไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป แต่อย่างไรก็ตาม อย่าใช้ไลฟ์สไตล์เป็นตัวกำหนดเงิน แต่ให้เงินมากำหนดไลฟ์สไตล์ และเมื่อคุณมีเงินก้อนแรกในชีวิต อย่าลืมว่าพลังของ Passive Income จะเกิดขึ้นจริงก็ต่อเมื่อคุณเก็บเงินได้จริง ๆ
- ลงทุนในสิ่งที่ใช้
ซีเค กล่าวว่า หุ้นที่ดีคือหุ้นที่มีสินค้า เพราะไม่มีสินค้า ก็ไม่มีรายได้ พร้อมกับยกตัวอย่างว่า ถ้าคุณติด iPhone ใช้ IG เล่นเกมบน GeForce หรือทำงานบน Excel เท่ากับว่าคุณรู้อยู่แล้วว่าสินค้าพวกนี้ดี แปลว่า “คุณรู้อยู่แล้วว่าหุ้นนั้นดี” เช่นเดียวกับที่ Warren Buffett ลงทุนใน Apple ตั้งแต่ปี 2016 นอกจากนี้ อย่ามองว่า “หุ้นวันนี้แพงเกินไป” เพราะวันนั้นหุ้น Apple ราคาต่ำกว่าในวันนี้เสมอ และกลับกลายเป็นหนึ่งในหุ้นที่ Buffett ทำกำไรได้มากที่สุด
- มองการลงทุนเป็นเกมระยะยาว
อย่าใช้ความคาดหวังแบบระยะสั้นมาตัดสินโลกการลงทุน ซีเคกล่าวว่า “เรามักประเมินผลในปีเดียวเกินจริง แต่กลับประเมิน 10 ปีต่ำเกินไป” ถ้าเราอดทนพอที่จะใช้ไลฟ์สไตล์เหมือนเดิม และให้เงินทำงานแทนคุณอย่างต่อเนื่อง คุณจะเป็นคนกลุ่มน้อยที่จะทำกำไรได้
“ใน 1 ปี หุ้นจะพุ่งแรงแค่ 4 วัน ถ้าคุณไม่อยู่ในตลาดในวันนั้น คุณจะพลาดทั้งปี” ซีเค กล่าว
ในช่วงหนึ่ง ซีเค เล่าว่า เขารู้สึกเสียดายที่ขายหุ้น Nvidia ไปในปี 2020 ในช่วงโควิดระบาด แต่ก็ตัดสินใจเอาไปลงคริปโตฯ แทน และก็ยังเคยพลาดหุ้นอย่าง Snapchat ที่เขาเชื่อว่ามีศักยภาพแต่ไม่ทันได้ลงทุน แต่ท้ายที่สุดแล้ว ซีเคก็กลับมาโฟกัสที่การลงทุนระยะยาว เพราะรู้ว่าหุ้นอย่าง Amazon ไม่ได้โตในวันเดียว แต่ต้องถือยาว 10 ปีจึงจะเห็นผล
ขี้สงสัย ชอบตั้งคำถาม = พื้นฐานการเป็นนักลงทุน
บทเรียนสำคัญของซีเคเริ่มต้นมาจาก “ความสงสัย” เสมอ โดยซีเคเชื่อว่าการอ่านข่าวอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้อง “ตั้งคำถาม” กับทุกสิ่งที่เราเห็น ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ หรือเทคโนโลยี เพราะเบื้องหลังข่าวที่บางครั้งอาจจะดูไม่มีสาระ แต่มักจะมีเบาะแสของโอกาสซ่อนอยู่เสมอ
โดยซีเคได้ยกตัวอย่าง ข่าวอีลอน มัสก์ ที่ก่อนหน้านี้รักกันดีแต่กลับมามีปัญหากับโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมองว่าถ้าแค่เสพข่าวผ่าน ๆ ก็จบ แต่ถ้าถามว่า “ทะเลาะกันทำไม?” “ใครได้ประโยชน์?” อาจนำไปสู่แนวคิดการลงทุนที่คาดไม่ถึง
ซีเค กล่าวต่อไปถึงเรื่องที่เชื่อมโยงกัน หรือสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ทำไม่ได้ แต่อีลอน มัสก์ต้องการจะทำให้สำเร็จ อย่างการลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐลง แต่เหตุผลที่รัฐบาลสหรัฐฯ ทำไม่ได้เป็นเพราะมีภาระด้านสวัสดิการ ถ้าเก็บภาษีมากเกินไป ประชาชนก็จะไม่เลือกตอนเลือกตั้ง จึงต้องอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ซึ่งทำให้เงินเฟ้อเกิดและลุกลามขยายออกไปจนเป็นปัญหาทั่วโลก ซึ่งทุกอย่างที่กล่าวมานี้ล้วนเชื่อมโยงกันทั้งหมด ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ การเงิน และตลาดหุ้น ซึ่งสุดท้ายก็ส่งผลถึงเงินในกระเป๋าของเราทุกคน
หลักคิดในการลงทุน “รู้เป้าหมายของตัวเอง”
เมื่อถามถึงหลักคิดในการเลือกลงทุนของซีเค ซีเคตอบอย่างชัดเจนว่า ต้องเริ่มจาก “รู้เป้าหมายของตัวเอง” ว่าลงทุนไปเพื่ออะไร พร้อมกับยกตัวอย่างว่า ถ้าเรามีเงินเป็นพันล้านอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงในคริปโตฯ เพราะสามารถเลือกลงทุนในตราสารหนี้หรือหุ้นปันผลเพื่อรักษาทุนได้ แต่ถ้ามีเงินเพียงหลักหมื่นหลักแสน และอยากเปลี่ยนชีวิต การลงทุนแบบเดิมอาจไม่พอ ต้องกล้าเสี่ยงมากขึ้น เพื่อโอกาสไปถึงเป้าหมายที่ใหญ่กว่า
เขาเล่าต่อถึงความเสี่ยงแบบตรงไปตรงมาว่า “ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับผลตอบแทน หรือ High risk = High return” ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบการศึกษาไม่เคยสอน แต่โลกธุรกิจจริง ๆ โดยเฉพาะธุรกิจอย่างธนาคารกลับเข้าใจกลไกนี้ดี
ซีเคได้ยกตัวอย่างรูปแบบการทำงานของธนาคาร ว่าเป็นธุรกิจที่ดีที่สุดในโลก เพราะไม่มีต้นทุนด้านวัตถุดิบเหมือนร้านอาหาร ต้นทุนของธนาคารคือ “เงินฝากของทุกคน” แถมยังเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มอีกต่างหาก แล้วเอาเงินนั้นไปปล่อยกู้กินดอกเบี้ย “เราไม่ได้เป็นธนาคาร แต่เราควรคิดให้ได้เหมือนธนาคาร” ซีเคกล่าว
พร้อมกับย้ำชัดเจนว่า ทรัพย์สินคือสิ่งที่เอาเงินเข้ากระเป๋า แต่หนี้คือสิ่งที่เอาเงินออกจากกระเป๋า เขายกตัวอย่าง Warren Buffett ที่ถือเงินสดจำนวนมากโดยการเข้าซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ หรือการที่ธนาคารทั่วโลกลงทุนในตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ เพราะยังปลอดภัยกว่าถือเงินสดในธนาคาร ที่แม้แต่ธนาคารเองก็เลือกที่จะไม่ถือเงินสดไว้เฉย ๆ
เขาย้ำอีกว่า ทุกการลงทุนต้องสอดคล้องกับเป้าหมายของชีวิต ถ้าทำธุรกิจไม่ไหว ก็ต้องลงทุนแบบธุรกิจ คือใช้เงินให้ทำงานแทนเรา โดยเฉพาะ “เงินเย็น” ที่ไม่จำเป็นต้องใช้งานทันที ไม่ควรนอนนิ่งในบัญชี แต่ต้องถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นทรัพย์สินอย่างมีแผน
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : Thairath Money
- LINE Official : Thairath