บทเรียนการเงินที่เจ็บ จากความอยากมีอยากได้ สู่เป้าหมายที่ทำได้จริงแบบ “เซ้นต์-ภูม”
“การเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องที่ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้” คือประโยคเปิดของเซ้นต์ ศุภพงษ์ อุดมแก้วกาญจนา ดารานักแสดง และวิทยากรสายการเงินที่มีผู้ติดตามนับแสน พร้อมกับภูม ณัฐภาสน์ ตันติเสถียรชัย รุ่นน้องต่างวัยที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ฟัง แต่วันนี้กลายมาเป็นผู้ที่ร่วมแชร์ประสบการณ์ด้านการเงิน บนเวที Thairath Money Roadshow 2025 ที่ครั้งนี้จัดขึ้น ณ เซ็นทรัลเวิลด์
ทั้งสองได้มาแชร์แง่มุมที่ลึกซึ้ง ทั้งเรื่องความคิด การบริหารเงิน การทำธุรกิจ และการลงทุน พร้อมบทเรียนชีวิตจริง ที่ทั้งสองมองว่า “หลายคนไม่มีโอกาสได้รู้…จนกว่าจะพลาดเอง” พร้อมกับร่วมสนทนาถึงเส้นทางการบริหารเงินของพวกเขา ว่ามีจุดเริ่มอย่างไร เจ็บมาอย่างไร และวันนี้เข้าใจเรื่องการเงินลึกซึ้งแค่ไหน?
จุดเริ่มต้นของการหาเงิน และความล้มเหลว
เซ้นต์ เล่าว่า เริ่มหาเงินด้วยตัวเองตั้งแต่อยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพราะตอนนั้นไม่อยากจะขอเงินพ่อแม่แล้ว แถมยังมีหนึ่งคำพูดจากคุณแม่ที่ว่า “อยากได้เงินเหรอ? ต้องทำงานสิ” จนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เซ้นต์เริ่มหาเงินด้วยตัวเอง ด้วยการช่วยประกอบจักรยานให้ครอบครัว เพื่อแลกกับเงินค่าจ้างคันละ 20 บาท จากที่เคยใช้เวลาประกอบจักรยานหนึ่งคันนานถึงหนึ่งสัปดาห์ ก็ค่อย ๆ พัฒนา จนทำได้ถึง 8 คันต่อวัน
และไม่ใช่แค่แรงกาย แต่ยังต้องคิดแบบนักธุรกิจ เซ้นต์ยังเอาสติกเกอร์ที่บ้านเหลือใช้ มาบรรจุแพ็กและขายดวงละบาท โดยมีต้นทุนจากแม่เพียง 2 แผ่น กลับต่อยอดกำไรจากสติกเกอร์กว่า 100 ดวง จนทำให้เซ้นต์ได้มีบทเรียน คือ “มองเห็นของเหลือใช้เป็นโอกาสทางธุรกิจ”
“ตอนนั้นเรากำลังเล่นบทบาทแม่ค้าแบบสนุก ๆ แต่จริง ๆ มันคือโมเดลธุรกิจขนาดย่อมที่ใช้หลักการเดียวกับ SME วันนี้เลยครับ” เซ้นต์ พูดพร้อมรอยยิ้ม
ด้านภูมิ เริ่มต้นหาเงินครั้งแรกจากการเปิดร้านอาหารเกาหลีเดลิเวอรี่ที่บ้านในช่วงโควิดระบาด ภูมิกล่าวว่า “ตอนนั้นเรียนออนไลน์ แม่อยู่บ้าน ก็เลยทำกับข้าวขาย” เขาใช้ครัวที่บ้านเป็นฐานผลิต เปิดเพจง่าย ๆ ลงรูป ทำเมนูเอง แต่สุดท้ายพอเจอลูกค้าเยอะขึ้น กลับรับมือไม่ไหวเพราะ “ไม่มีระบบ” ในการจัดการทั้งเรื่องบัญชี การวางแผน การบริหารสต๊อก จนกลายเป็นบทเรียนสำคัญข้อแรกของชีวิต
ภูมิกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “มันเหนื่อยมาก การทำธุรกิจจริง ๆ ไม่ได้แค่นั่งบริหารอย่างที่หลายคนคิด เราต้องลงแรง ต้องเสียสละ ต้องจัดการบัญชีเอง ถึงจะรู้ว่าอะไรคือรายรับจริง อะไรคือต้นทุนที่หายไป”
ด้านเซ้นต์ ก็เคยทำแบรนด์เสื้อผ้าเองแต่ล้มเหลว เพราะไม่มีทีมงาน เพราะ “ทำทุกอย่างคนเดียว และทำแบบนั้นมันไม่เวิร์ก” เขาย้ำว่าการทำธุรกิจไม่ใช่แค่ไอเดียหรือความขยัน แต่ต้องมีระบบที่รองรับ ตั้งแต่บัญชี โลจิสติกส์ ไปจนถึงการบริหารคน “เก่งแค่ไหน ถ้าระบบไม่ดี ธุรกิจก็พัง”
ภูมิเสริมว่า การไม่แยกเงินส่วนตัวกับเงินธุรกิจก็เป็นอีกหนึ่งกับดักใหญ่ พร้อมกล่าวว่า “ตอนแรกคิดว่าแค่ขายของได้เงินก็ดีแล้ว ไม่รู้เลยว่ามันไม่พอ” เขาเจอบทเรียนจริงที่ต้องหันกลับมาเรียนรู้เรื่องบัญชี ธุรกิจ และการวางแผนการเงินให้ดีขึ้น
เพราะความอยากมีอยากได้…
จุดร่วมของทั้งคู่คือ “แรงผลักดัน” มาจากสิ่งที่อยากได้ในวัยเด็ก ทั้งรองเท้า กระเป๋า หรือของเล่นแบรนด์เนม แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยได้มาฟรี ๆ ต้องแลกกับการลงมือทำงาน หาเงินเอง โดยเซ้นต์ ย้อนเล่าถึงครั้งหนึ่งที่อยากได้ “ดาบไลท์เซเบอร์” ราคาหลายพันบาท แต่พอแม่ถามกลับว่า “ขยะพลาสติกทั้งคันรถ 10 ล้อที่บ้านขายได้แค่พันนิด ๆ เองนะ แล้วของเล่นชิ้นเดียวจะคุ้มแค่ไหน?” นั่นคือจุดที่เขาเริ่มรู้จัก “คุณค่าของเงิน”
ด้านภูมิเองก็เคยพลาดจากการ “ตามเพื่อน” ในช่วงเข้าเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ เมื่ออยากมีกระเป๋า โทรศัพท์ หรือไลฟ์สไตล์หรูหราแบบคนอื่น จนเงินเดือนหมด รายรับไม่พอรายจ่าย และต้อง “ถอนเงินฉุกเฉิน” ที่เคยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่แตะเด็ดขาด
แต่การล้มครั้งนั้นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ภูมิหันมาศึกษาเรื่องการเงินอย่างจริงจังด้วยตัวเองผ่าน ยูทูป พอดแคสต์ และการปรึกษาคนรอบข้าง โดยมีเซ้นต์เป็นอีกหนึ่ง Mentor ที่คอยให้คำแนะนำด้วยวิธีที่ “ไม่ชี้นำ” แต่ “ช่วยคิด”
การลงทุนต้องเริ่มจากสิ่งใกล้ตัว และเริ่มตั้งแต่เนิ่น ๆ
เซ้นต์ เล่าว่า เขาเริ่มลงทุนตั้งแต่ระดับมัธยมปลายด้วยเงินจากการขายของ โดยซื้อหุ้นตัวแรกจากความอยากลอง ศึกษาผ่านการเรียนรู้จากคลิปยูทูปและหนังสือการลงทุน เซ้นต์กล่าวว่า “ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องกราฟอะไรเลย แค่รู้ว่ามันเป็นวิธีที่เงินจะงอกเงย”
ด้านภูมิเริ่มต้นการลงทุนจากกองทุนรวมผ่านแอปพลิเคชันมือถือ และต่อมาเริ่มสนใจหุ้นรายตัวที่รู้จัก เช่น Amazon หรือ Apple เพราะมั่นใจว่าเขาทำอะไร หาเงินยังไง และก็เป็นการลงทุนแบบที่ตัวเองเข้าใจ ไม่ใช่ตามกระแส
อย่างไรก็ตาม เซ้นต์ก็ได้เจอกับบทเรียนใหญ่ เมื่อมั่นใจเกินไป จนเจอพอร์ตแดงทั้งกระดาน โดยเซ้นต์ เล่าว่าเคย “All-in” หุ้นพอร์ตเดียวก่อนช่วงโควิด แต่แล้วก็ต้องมาเจอวิกฤตตลาดหุ้นตกอย่างหนัก พร้อมกล่าวว่า “คิดว่าเราวิเคราะห์ดีแล้ว แต่ตลาดไม่เป็นไปตามที่คิดเลย” และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาเริ่มกระจายการลงทุน เช็คงบการเงิน และมองความเสี่ยงให้รอบด้าน
ภูมิก็เช่นกันที่บทเรียนมาจากเซ้นต์ เขาจึงไม่เคย All-in แต่เลือกกระจายเงินไปหลายส่วน พร้อมมีเงินสดสำรองไว้เสมอ โดยมองว่า เงินเย็นต้องมี และเงินร้อนอย่าใช้ลงทุน
คำแนะนำถึงคนรุ่นใหม่
ก่อนจะจบเซสชัน ทั้งเซ้นต์และภูมิก็ได้เล่าถึงความสำคัญของ “ประกันสุขภาพ” โดยเซ้นต์ได้เล่าย้อนอดีตว่า เคยต้องเข้าโรงพยาบาลโดยไม่มีประกัน แล้วต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ จึงทำให้เข้าใจว่า ประกันไม่ใช่แค่รายจ่าย แต่มันคือการป้องกันความเสียหายในระยะยาว
ส่วนภูมิเองก็เคยมีประสบการณ์ที่ซื้อประกันแพงเกินไปจนไม่ไหว เลยเรียนรู้ว่า ควรมี แต่ต้องเลือกให้เหมาะกับรายได้ของเรา อย่าให้เป็นภาระระยะยาว
นอกจากนี้ ก่อนจบเวที ทั้งสองคนได้ฝากข้อคิดที่ตรงใจใครหลายคน โดยเซ้นต์ มองว่า “ไม่ต้องลงทุนทันที แต่ต้องเริ่มศึกษาให้ไว้ ไม่งั้นพอถึงเวลาจริง จะตัดสินใจผิด เพราะไม่มีข้อมูล”
ส่วนภูมิ กล่าวว่า “เริ่มต้นลงทุนจากสิ่งที่เรารู้จัก ที่ใช้บริการอยู่แล้ว เช่น หุ้นในแอปฯ ที่เราใช้ทุกวัน มันจะเข้าใจง่าย และรู้ว่าทำไมถึงควรลงทุน”
พร้อมกับทิ้งท้ายว่า “รวยไม่ใช่แค่มีเงินล้าน แต่คือการใช้ชีวิตในแบบที่เราพอใจและมีความสุข” นี่คือคำตอบที่ทั้งเซ้นต์และภูมิเห็นตรงกัน เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะทำธุรกิจ ลงทุนหุ้น หรือเก็บเงินซื้อของที่ฝันไว้ การบริหารเงินที่ดี คือการรู้ว่า “เราหาเงินไปทำไม” และ “เงินนั้นจะตอบโจทย์ชีวิตเราอย่างไร” หากคำตอบคือ “ความสุข” คุณก็เดินมาถูกทางแล้ว
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : บทเรียนการเงินที่เจ็บ จากความอยากมีอยากได้ สู่เป้าหมายที่ทำได้จริงแบบ “เซ้นต์-ภูม”
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : Thairath Money
- LINE Official : Thairath