เครดิตบูโร เตือนวิกฤตหนี้ หวัง ‘ยาแรง’ ช่วยกลุ่มเปราะบาง
“ผมได้เดินทางคุยกับผู้คนมาตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด มาจนถึงปัจจุบัน คือ คุยกับผู้คนในระดับที่เดินฟุตปาท อยู่บ้านเช่า กินข้าวกล่อง ว่าเกิดอะไรขึ้น… เราทั้งหลายอยู่ในคลื่นลม ในทะเลเดียวกัน แต่เราอยู่เรือคนละลำ บางท่านอยู่บนเรือบรรทุกเครื่องบิน บางท่านอยู่บนเรือประมง บางท่านอยู่บนเรือหัวโทง คลื่นลมที่ปะทะ จึงไม่เหมือนกัน ความเจ็บปวด แรงกระแทกที่เข้ามาไม่เหมือนกัน”
“ผมอยากจะบอกว่า หนี้ไม่ใช่บาป การเป็นหนี้ไม่ใช่เป็นบาป พระท่านก็พูด ไม่สามารถจะใช้แต้มบุญมาขอให้หนี้มันหดลดหายไปได้ หนี้เป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการ” นี่เป็นคำกล่าวของ “สุรพล โอภาสเสถียร” ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) บนเวทีสัมมนา “Prachachat Exclusive Forum 2025 คน…พลิกวิกฤต” เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา ในฐานะผู้ที่รู้แจ้งชัดเจนเกี่ยวกับข้อมูลเครดิตของคนไทย อย่างถึงไส้ที่สุด
พร้อมตอกย้ำว่า “แน่นอน คนเป็นหนี้ ต้องใช้หนี้ สัญญาต้องเป็นสัญญา นี่คือหลักการพื้นฐานทุกคน อย่างไรก็ดี ประเด็นหลักคือ ทุกคนต้องใช้หนี้ แต่ศักยภาพในการใช้หนี้อยู่ตรงไหน ก็ต้องดูตรงนี้ด้วย”
“วิกฤตหนี้” อันตราย-ฉุดรั้งศก.
“ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร” ฉายภาพว่า ปัจจุบันตัวเลขหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 16.4 ล้านล้านบาท ซึ่งอัตราส่วนที่บอกว่า จะเป็นวิกฤตและเป็นอันตรายต่อการฉุดรั้งเศรษฐกิจ คือเกินกว่า 80% ต่อ GDP แต่ที่ผ่านมา หนี้ครัวเรือนสูงเกินกว่าระดับดังกล่าว โดยขึ้นไปถึง 90-95% แล้วลงมาที่ 88.4% ในปัจจุบัน
“การเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนไทย เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน หลังน้ำท่วมใหญ่ปี’54 แล้วก็มีความพยายามจะกดลงมาด้วยมาตรการต่าง ๆ เช่น ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์, LTV ซึ่งการที่เศรษฐกิจไทยโตช้า ปัจจัยฉุดรั้งมาจากการที่คนเป็นหนี้ ต้องหาเงินไปชำระหนี้ ลดการบริโภคลง”
ทั้งนี้ หากจะให้หนี้ลดลง GDP ต้องโตให้ไวกว่าหนี้ มันถึงจะเข้าสู่ 80% ได้
คนไทยตกหลุมรายได้-จมหนี้
เมื่อพิจารณาจากรายได้ของคนไทยในแต่ละกลุ่มอาชีพ อาทิ ลูกจ้างการผลิต ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ภาคเกษตร ลูกจ้างบริการ ประมาณกว่า 40 ล้านคน ในปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดโควิด กระทั่งถึงปี 2565 ที่จบช่วงการระบาดรุนแรง พบว่า ผู้ประกอบอาชีพอิสระ 10 ล้านคน ได้รับผลกระทบที่รุนแรงที่สุด คือ แม่ค้าที่เคยขายของในตลาด ขายไม่ได้ เพราะโรคโควิดไม่อนุญาตให้ Face to Face พบเห็นต่อหน้ากันไม่ได้
“แต่ละจุดกว่าที่จะกลับเข้ามาสู่ระดับรายได้ก่อนโควิด ต้องเลยมาจนถึงประมาณปี 2567 คือ ระดับรายได้ที่ตกลงไปในหลุม แล้วกว่าจะกลับขึ้นมา ต้องใช้เวลาถึงปี 2567 แต่ในแต่ละท่าน ที่เป็นลูกจ้าง หรือพนักงาน หรือผู้ใช้แรงงาน ล้วนมีสัมภาระอยู่ข้างหลัง ที่เรียกว่าหนี้ และสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทาง คือ ดอกเบี้ย เพราะดอกเบี้ยไม่รู้จักโรคระบาด ดอกเบี้ยไม่เคยหยุดบานในระหว่างโรคระบาด มันเกาะและสะสมตรงนั้น”
จากข้อมูลพบว่า รายได้โตแค่ปีละ 3% แต่รายจ่ายรวมภาระหนี้โตปีละ 5% แปลว่า รายจ่ายวิ่งเร็วกว่ารายได้ ทุกคนก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งตัวเลขนี้จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
“นี่เป็นอาการที่สะท้อนให้เห็นว่า นี่คืออาการ Income Shock หลุมรายได้ สิ่งที่ตามมาก็คือ ถ้าเราอยากเห็นตัวเลขหนี้ 88.4% ไหลลงมาอยู่ที่ 80% หรือ 70% คำตอบอยู่ที่จีดีพีต้องโต ซึ่งไตรมาส 1 ปีนี้โต 3.1% แต่ทั้งปี ประมาณการว่าจะเหลือ 1.8% ดังนั้น น่าจะนึกออกว่า อีก 3 ไตรมาสที่เหลือจะเป็นอย่างไร”
ตัวเลขไม่เคยโกหกใคร
“ตัวเลขไม่เคยโกหกใคร มีแต่ใจเราเท่านั้นที่พยายามสะกดจิตตัวเอง หลอกตัวเองว่า มันยังดีอยู่ แต่คนดูข้อมูลอย่างผม เราเฝ้าดูทุกเดือน ซึ่งตัวเลขเดือน เม.ย. ที่เป็นตัวเลขล่าสุด สินเชื่อบ้าน 3.47 ล้านบัญชี เป็นเงิน 5.1 ล้านล้านบาท อัตราการเติบโตเทียบ YOY (ต่อปี) 2.3% ขณะที่สินเชื่อรถยนต์ 6.182 สัญญา หรือ 6.1 ล้านคน ติดลบ 9% YOY ที่น่าสนใจมากก็คือ สินเชื่อสำหรับคนตัวเล็กตัวน้อย หรือนาย ก. นาย ข. ที่กู้เงินในระบบของเครดิตบูโร 160 กว่าแห่ง มีการขอกู้ 20,000-50,000 บาท เพื่อทำธุรกิจ การเติบโต ติดลบ 5.5% YOY ส่วนสินเชื่อ O/D ที่เป็นเลือดหล่อเลี้ยงคนตัวเล็กติดลบ 8% นี่คืออาการที่เกิดขึ้นกับคนที่อยู่ข้างล่าง คือคนตัวเล็ก”
“สุรพล” กล่าวว่า ได้รับโจทย์จากรัฐบาล ถามคำถามมาว่า มีรถยนต์ปิกอัพกี่คันที่กำลังจะถูกยึด ในอีก 1 หรือ 2 เดือนข้างหน้า ซึ่งพบว่า มีหนี้ค้างชำระเกิน 30 วัน แต่ยังไม่เกิน 90 วัน ขณะนี้มี 252,000 สัญญา (คัน) ที่มีความเสี่ยงจะถูกยึด ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์มีจำนวน 1,034,000 คัน ที่เป็นหนี้เสีย ซึ่งเหล่านี้เป็นดัชนีชี้วัดของมนุษย์เดินถนนทั้งสิ้น
และหากดูตัวเลขตั้งแต่เดือน ม.ค. ผ่านมา 4 เดือน หนี้เริ่มค้าง หรือหนี้ที่ต้องกล่าวถึงเป็นพิเศษ จาก 590,000 ล้านบาท เหลือ 450,000 ล้านบาท ลดลงมา 140,000 ล้านบาท ขณะที่หนี้ที่ปรับโครงสร้าง เพิ่มจาก 920,000 ล้านบาท เป็น 1,180,000 ล้านบาท คือ 4 เดือน เพิ่ม 260,000 ล้านบาท เขื่อนยักษ์ตัวนี้ยกขึ้นมา เติบโต 31% YOY ส่วนหนี้เสียอยู่ที่ 1,200,000 ล้านบาท หนี้เสียเพราะโควิด 170,000 ล้านบาท หนี้ปรับโครงสร้างหลังเป็นหนี้เสีย 1,090,000 ล้านบาท
หากเอาหนี้เสีย 1,200,000 ล้านบาท มากางออก จะพบว่า มีคนที่เป็นหนี้เสีย 5,100,000 คน จากคนทำงานในประเทศไทย 44 ล้านคน มีคนเป็นหนี้เสีย มีชีวิตอยู่ไม่ปกติ รอหมายศาลอยู่ 5,100,000 คน ในจำนวนดังกล่าวพบว่า 3,300,000 คน เป็นหนี้เสียต่ำกว่า 100,000 บาท คิดเป็นมูลหนี้ 120,000 ล้านบาท หรือ 10% ของหนี้เสียทั้งหมด
“ผมไม่เคยพูดตัวเลขหลักพันล้าน แต่มันเป็นล้านล้าน ถ้าเราดูแค่ว่าตัวเลขเป็นสิ่งไม่มีชีวิต เราจะมีความเมตตากับเรื่องนี้ต่างกัน สิ่งที่นายสุรพลเรียกร้องต่อ Policy Maker คือ อย่าดูคนเป็นกราฟ อย่าดูตัวเลขไม่มีชีวิต เพราะสิ่งมีชีวิตอยู่หลังตัวเลขนี้”
ต้องแก้หนี้อย่างจริงจังก่อนวิกฤต
“กลุ่มนี้คือเพื่อนมนุษย์ที่เป็นคนไทย เป็นแรงงานในระบบเศรษฐกิจไทย ทำอะไรไม่ได้ ติดกับดักอยู่ตรงนี้ ท่านว่าเราควรจะเอาเขาออกมาไหม ซึ่งถ้าไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เราคาดการณ์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หนี้เสียจะขยับไปอยู่ที่ 1,300,000 ล้านบาท ถ้าเรายังไม่มีมาตรการแบบแรง ๆ หนี้ที่กำลังจะเสียจะชันขึ้น เพราะความเปราะบางของรายได้ รายจ่าย เมื่อใดที่ค้างชำระ 31 วัน ตามมาตรฐาน TFRS9 จะประกาศให้เป็นหนี้กำลังจะเสียทันที หรือ SM จะขยับขึ้น หรือการปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา หรือ TDR ก็จะขยับ นี่คือการประมาณการในอีก 1 ปีข้างหน้า บนเงื่อนไขที่ว่าหากไม่มีมาตรการที่ออกมาเป็นกอบเป็นกำ ที่จะทำให้หนี้ลดลงได้”
“คนวันนั้นก่อหนี้ด้วยปัจจัยต่าง ๆ นานา คนวันนั้นเจอหลุมรายได้ จนมีหนี้ จนเป็นวิกฤตชีวิต อย่างน้อย ๆ 3,300,000 คน จาก 5,100,000 คนที่เป็นหนี้เสีย คนวันนั้นกำลังไต่ข้ามภูเขาหนี้ ตกหลุมรายได้ ไต่ภูเขาหนี้ด้วยกำลังที่อ่อนล้า ด้วยเศรษฐกิจที่โต 1.8% คนวันนี้จึงต้องมีคนที่มีหน้าที่เข้ามาช่วย เพราะตัวเขาเองทำได้แค่ระดับหนึ่ง คนมีหน้าที่จึงต้องทำหน้าที่ หน้าที่ของตัวเองที่ได้รับมอบอำนาจมา ไม่ต้องรอใครมากดปุ่ม เปิดแพรคลุมป้ายจึงค่อยทำ” ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโรกล่าว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เครดิตบูโร เตือนวิกฤตหนี้ หวัง ‘ยาแรง’ ช่วยกลุ่มเปราะบาง
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net