ธุรกิจData Center-Cloud Serviceแห่ขอรับส่งเสริม 6เดือนแรกปี68ยอดมูลค่าทะลุ 3แสนล. WHA-AMATAตีปีก!ขายที่ดินนิคมฯคึกคัก
ความตึงเครียดในตะวันออกกลางเริ่มผ่อนคลายหลังจากอิสราเอล-อิหร่านประกาศหยุดยิงทำให้ราคาน้ำมันและก๊าซฯปรับตัวลดลง แต่ภาคธุรกิจยังคงจับตาประเด็นมาตรการภาษีตอบโต้ หรือReciprocal tariffs ของสหรัฐฯกับประเทศคู่ค้า โดยไทยเจอภาษี Reciprocal tariffs เต็มๆถึง 36% ขณะที่คู่แข่งอย่างเวียดนามโดนภาษีตอบโต้ 46%
ดังนั้นช่วงนี้นักลงทุนชะลอการตัดสินใจลงทุนใหม่ จนกว่าจะมีความชัดเจนประเด็นภาษี Reciprocal tariffs โดยรัฐบาลแต่ละประเทศต่างงัดยุทธวิธีมาใช้ในการเจรจากับสหรัฐอเมริกาเพื่อต่อรองปรับลดอัตราภาษีดังกล่าวให้ต่ำสุด ขณะที่ไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านการเมืองภายในประเทศเข้ามาซ้ำเติม
อย่างไรก็ดี มีบางธุรกิจแทบไม่ได้รับผลกระทบนโยบายภาษีทรัมป์ รวมถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก หนี่งในนั้นคือธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ที่ได้อานิสงส์จากสงครามการค้าและมาตรการขึ้นภาษีสหรัฐฯ ทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตมายังกลุ่มประเทศในอาเซียนรวมทั้งประเทศไทย จึงไม่แปลกที่จะเห็นบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ WHA และบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือAMATA เร่งขยายพื้นที่นิคมฯ รวมถึงตั้งนิคมอุตสาหกรรมใหม่เพิ่มเติมทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายทุนของบริษัทข้ามชาติ
ขณะเดียวกัน ภาครัฐก็เดินหน้าส่งเสริมการลงทุน เพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นอนาคตของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนฯ(xEV) อุตสาหกรรม BCG เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง , ธุรกิจดิจิทัลและAI รวมทั้งกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ผนวกกับความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐานทั้งน้ำ ไฟฟ้า ถนนหนทางฯลฯของที่ไทยดีกว่าประเทศคู่แข่ง ทำให้ตัวเลขการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากสำรักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องทั้งในช่วง 1-2ปีนี้ โดยเฉพาะธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์(Data Center) ที่มีอัตราการเติบโตสูงมากในปีที่แล้วต่อเนื่องมาถึงปี2568
ธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์ เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นรองรับความต้องการในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์( AI ) ซึ่งการเข้ามาลงทุนโครงการ Data Center และ Cloud Service ในประเทศไทยของบริษัทระดับโลกอย่าง Google และเครือ GDS เมื่อปลายปีที่แล้ว เป็นการตอกย้ำศักยภาพของประเทศไทยที่มีอัตราการใช้บริการออนไลน์และการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลในสัดส่วนที่สูง ทำให้เกิดการลงทุน Data Center ในไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนุนให้ไทยขยับสู่การเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาคแล้ว และยังเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้เข้าถึงบริการของศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ที่มีมาตรฐาน มีความปลอดภัยสูง
โดยบีโอไอระบุในช่วง 3ปีนับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2565-2567 มีโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service จำนวน 27 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 2.9 แสนล้านบาท แบ่งเป็นปี 2565 มีจำนวน 7 โครงการ เงินลงทุน 40,268ล้านบาท ในปี 2566 จำนวน 6โครงการ เงินลงทุน 6,046ล้านบาท ปี2567 จำนวน 16 โครงการ เงินลงทุน 241,494 ล้านบาท ส่วนในครึ่งแรกปี 2568 (เดือนม.ค.-มิ.ย.2568 ) เบื้องต้นพบว่ามีจำนวนสูงถึง 11 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 336,292 ล้านบาท
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกลุ่มลูกค้า Data
Centerกว่า 20 รายสนใจซื้อที่ดินในนิคมฯ คาดว่าปีนี้จะสามารถปิดดีลขายที่ดินได้เพิ่มอีก 2-3 ราย หลังจากWHAเพิ่งปิดดีลการขายให้กับ บริษัท ฮ่าวหยาง ดาต้า เซ็นเตอร์ 1 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของบริษัท Beijing Haoyang Cloud & Data Technology Co., Ltd. ผู้ให้บริการ Data Center ระดับไฮเปอร์สเกลชั้นนำจากจีน
โครงการ Data Center ของฮ่าวหยางฯ มีขนาดกำลังไฟฟ้า 300เมกะวัตต์ มูลค่าการลงทุนประมาณ 72,670 ล้านบาท สร้างโครงการ Data Center ระดับไฮเปอร์สเกล ในนิคมฯดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์น ซีบอร์ด 4 (WHA ESIE 4) จังหวัดระยอง คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2569
สำหรับโครงการData Centerส่วนใหญ่จะลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC เพราะมีความต้องการไฟฟ้าที่เสถียรและมีการใช้น้ำในปริมาณที่มาก ซึ่งWHA มีความพร้อมด้านสาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้าและน้ำเพียงพอรองรับกลุ่มลูกค้าData Centerในปัจจุบัน แต่เพื่อเตรียมความพร้อมด้านสาธารณูปโภครองรับลูกค้าData Centerในอนาคต
WHA อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโรงไฟฟ้าแบบCaptive เพื่อขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าData Centerโดยตรง (Direct PPA) เบื้องต้นคาดว่าจะได้ข้อสรุปในครึ่งหลังปี2568
นางสาวจรีพร กล่าวว่า เร็วๆนี้ บริษัทเตรียมเซ็นสัญญาขายที่ดินในนิคมฯให้กับลูกค้ารายใหญ่ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ขนาดพื้นที่ราว 500 ไร่ภายในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม 2568 ขณะที่ยอดโอนที่ดินในไตรมาส2/2568 อยู่ที่ 500ไร่ คาดว่าทั้งปี 2568 บริษัทมียอดโอนที่ดินได้ราว 2,000ไร่
โดยในไตรมาส 3/2568 บริษัทคาดปิดดีลการขายที่ดินให้กับลูกค้าอีกรายประมาณ 400กว่าไร่ มั่นใจทั้งปี2568 WHA มียอดขายที่ดินในนิคมฯได้ตามเป้าหมาย 2,350ไร่ แบ่งเป็นการขายที่ดินนิคมฯในไทยทะลุเกิน 2,000ไร่ มากกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้1,700ไร่ แต่เหตุผลที่ยังไม่ปรับเป้าหมายการขายที่ดินในนิคมฯ เพราะรอประเมินสถานการณ์การขายที่ดินนิคมฯในประเทศเวียดนามอีกครั้ง หลังจากได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนชะลอการทำสัญญาเพื่อรอความชัดเจนอัตราภาษี Reciprocal tariffs
อีกครั้ง ซึ่งเดิมWHAตั้งเป้าการขายที่นิคมฯในเวียดนามปีนี้ 650ไร่
ฃณะที่ยอดขายที่ดินในไทยยังเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าการขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ของสหรัฐฯกับสินค้าไทยอยู่ที่36% ต่ำกว่าเวียดนาม ส่วนปัญหาการเมืองไทยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของต่างชาติ
ส่วนการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลกนั้น แม้ว่าหลายธุรกิจจะได้รับผลกระทบ แต่นิคมฯกลับตรงกันข้าม เห็นได้จากยอดขายที่ดินในนิคมฯที่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากนักลงทุนเร่งย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคนี้เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุนและยังเป็นฐานการผลิตส่งออก ไม่ว่าการตั้งโรงงานผลิตEVของจีนในไทย รวมทั้งการขยายการลงทุนผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) เป็นต้น
นางสาวจรีพร กล่าวว่า เพื่อรองรับทุนเคลื่อนย้ายจากต่างประเทศ บริษัทได้วางรากฐานที่แข็งแกร่งผ่านกรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืน 5 ปี โดยกำหนด 5 ภารกิจหลัก ดังนี้คือ
-ระบบนิเวศการขนส่งสีเขียว (Green Mobility): เพื่อสนับสนุนการเดินทางขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในรูปแบบ Built-to-Suit ที่ออกแบบเฉพาะตามความต้องการของลูกค้าภายใต้แบรนด์โมบิลิกส์ (Mobilix) ประกอบด้วย บริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า เป็นบริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน แพลตฟอร์มดิจิทัลอัจฉริยะสำหรับจัดการรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ปัจจุบันMobilix ได้ให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วกว่า 330 คัน ช่วยให้ผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง โดยตั้งเป้าให้บริการรถยนต์ไฟฟ้า 20,000 คัน ภายในปี 2572
-การบริหารจัดการน้ำอย่างครบวงจร สร้างระบบนิเวศน้ำที่ยั่งยืนครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมและชุมชน ด้วยการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยตั้งเป้าบริหารจัดการน้ำรวม 173 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2568
-นวัตกรรมโซลูชันลดคาร์บอน มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมการดำเนินงานทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเร่งติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา แบบทุ่นลอยน้ำ และแบบบนพื้นดิน เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยขยายธุรกิจพลังงานทดแทนด้วยเป้าหมายสัญญา Private PPA สะสม 657 เมกะวัตต์ในปี 2568 และเพิ่มเป็น 1,200 เมกะวัตต์ในปี2572
-การก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุคาร์บอนต่ำและวัสดุรีไซเคิล การให้ความสำคัญกับการจัดการของเสีย และการออกแบบเพื่อสร้างความยืดหยุ่น ความทนทาน และประสิทธิภาพ
-การจัดการของเสียอย่างยั่งยืน (Waste Reduction by 3R): WHA นำนโยบาย 3Rs ประกอบด้วย Reduce, Reuse, Recycle ซึ่งเป็นแนวทางการจัดการขยะและทรัพยากรอย่างยั่งยืน โดยเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการลดปริมาณขยะฝังกลบให้เป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill)
จ่อผุดโรงไฟฟ้าCaptiveป้อนData Center
นายอัครินทร์ ประเทืองสิทธิ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัทดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด(มหาชน) หรือ WHAUP กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการตั้งโรงไฟฟ้าCaptiveเพื่อขายไฟตรงให้ลูกค้าโดยเฉพาะData Center ในอนาคต ซึ่งกำลังประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าว่าเพิ่มขึ้นเท่าไร แต่เบื้องต้นน่าจะหลายร้อยเมกะวัตต์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 3 ปีนี้ โดยสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิงเป็นหลักเพราะData Center ต้องการไฟฟ้าที่เสถียร
ส่วนขั้นตอนการลงทุนโรงไฟฟ้าแบบCaptive จะต้องยื่นขอEIA และดำเนินการก่อสร้างคาดแล้วเสร็จประมาณ 3-3.5ปี โดยโรงไฟฟ้าCaptiveจะช่วยแก้ปัญหาการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นและระบบสายส่ง จากการเข้ามาลงทุนธุรกิจData Centerในเขตพื้นที่EEC
ขณะเดียวกัน WHAUPมีแผนขยายธุรกเจน้ำ เพื่อรองรับโครงการData Center เช่นกัน ซึ่งโครงการData Centerมีความต้องการใช้น้ำอุตสาหกรรมเฉลี่ย 7-10 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีต่อโรง โดยบริษัทจะใช้เงินลงทุนราว 200-300 ล้านบาทต่อโรง
ดังนั้นในปีหน้า บริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนเพิ่มสูงขึ้นกว่าแผนงานเดิมที่ได้ตั้งงบลงทุน 5ปีนี้ (2568-72) อยู่ที่ 29,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนขยายธุรกิจทั้งด้านสาธารณูปโภคและพลังงาน
สำหรับแผนการดำเนินในปี2568 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งภายในและภายนอกนิคมฯทั้งในประเทศและต่างประเทศ เน้นการลงทุนในโครงการโซลาร์รูฟท็อป โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff และโครงการ Direct PPA เป็นต้น ในปีนี้จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ราว 100เมกะวัตต์ โดยกลางปีนี้จะจ่ายไฟเข้าระบบ 50เมกะวัตต์มีทั้งโซลาร์รูฟท็อป โซลาร์ฟาร์มและโซลาร์ลอยน้ำ ส่วนที่เหลืออีก 50เมกะวัตต์จะทยอยเข้ามาในครึ่งปีหลัง ทำให้ทั้งปี2568 บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมราว 1,185 เมกะวัตต์ มีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 55%ของกำลังการผลิตทั้งหมดหรือราว 657 เมกะวัตต์
ส่วนธุรกิจน้ำ ในปีนี้บริษัทมุ่งเน้นการขยายการให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มเทคโนโลยีใหม่ๆที่มีปริมาณความต้องการใช้น้ำสูง และจะมุ่งเน้นการผลิตน้ำที่มีมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Water) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และมองหาแหล่งน้ำดิบทดแทน เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านการจัดหาน้ำ
ดังนั้นบริษัทฯ ได้มีการตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศในปีนี้อยู่ที่ 173 ล้านลูกบาศก์เมตร โตขึ้น4%จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 166 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็นยอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำภายในประเทศประมาณ 132 ล้านลูกบาศก์เมตร และในประเทศเวียดนามประมาณ 41 ล้านลูกบาศก์เมตร
AMATAมั่นใจปีนี้ยอดขายที่ดินเข้าเป้า3.5พันไร่
ด้านบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัยจำกัด (มหาชน) หรือ AMATA ระบุเป้าหมายยอดขายที่ดินในนิคมฯทั้งในและต่างประเทศในปี 2568 อยู่ที่ 3,500ไร่ โตขึ้นกว่าปีก่อน 15% ซึ่งมั่นใจว่าการขายที่ดินในนิคมฯทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติยังคงย้ายฐานการลงทุนมาอย่างต่อเนื่องสืบ ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ
ขณะเดียวกันปี2568 AMATAได้เตรียมความพร้อมในด้านการพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและนำนวัตกรรมพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้เพื่อรองรับการลงทุนของอุตสาหกรรมใหม่ด้วย
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO