พิชัย เร่งอัดงบ 1.15 แสนล้าน ปูทางปรับโครงสร้างศก.โตยาว
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยงบประมาณ 115,375 ล้านบาท ภายใต้กรอบวงเงินรวม 157,000 ล้านบาท ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วว่า ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 โดยยืนยันว่าแผนการใช้งบประมาณดังกล่าวไม่ใช่เพียงการกระตุ้นระยะสั้นแต่จะสร้างผลระยะยาว ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การปรับกฎเกณฑ์ และการวางรากฐานที่ยั่งยืนให้ประเทศ
หลายคนบอกว่างบก้อนนี้เป็นเพียงสารกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่อยากจะบอกว่าแผนนี้เราต้องการกระตุ้นแล้วให้เกิดผลกระยะสั้น และนำไปซึ่งผลระยะยาว
นายพิชัย ระบุว่า การใช้งบประมาณรอบนี้ถูกออกแบบด้วยหลักเกณฑ์เข้มงวด กำหนด 8 หลักการ ยกตัวอย่างเช่น การกระจายงบให้ทั่วถึง กระตุ้นการจ้างงาน และไม่ใช้วิธีจัดซื้อพิเศษหากไม่จำเป็น พร้อมตั้งคณะติดตามกำกับแผนการใช้เงินโดยตรง จากกรอบ 157,000 ล้านบาท ได้รับการสกรีนผ่านเกณฑ์แล้ว 115,375 ล้านบาท โดย 79% ใช้กับโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ระบบน้ำ ไฟฟ้า และถนน ไปจนถึงการจ้างงาน เน้นให้ทันใช้จริงภายในปีงบประมาณ เป็นการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ
การลงทุนหลัก ได้แก่
• พัฒนาระบบน้ำ 3 ด้าน เพื่ออุปโภคบริโภค, เกษตรกรรม และรองรับนิคมอุตสาหกรรม (โดยเฉพาะอีสเทิร์นซีบอร์ด)
• ซ่อมแซมถนน เสริมการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว พื้นที่เปราะบาง และพื้นที่ประสบภัย
• แก้ปัญหาค่าไฟแพง โดยตั้งเป้าราคาประมาณ 3.50 บาทต่อหน่วย หวังแข่งขันกับต่างประเทศ
• รองรับการถือครองที่ดินของนักลงทุนแบบเช่าระยะยาว โดยไม่กระทบความเป็นเจ้าของชาติ
• พัฒนาทักษะแรงงาน จับมือ 6 มหาวิทยาลัยรองรับอุตสาหกรรมใหม่ พร้อมสนับสนุนการฝึกงานในสถานประกอบการ
นายพิชัย ยังย้ำว่า หนี้สาธารณะไม่ใช่ปัญหาหลัก หากสามารถสร้างรายได้ในอนาคตได้ โดยอ้างอิงกรอบหนี้สาธารณะไม่เกิน 70% ของ GDP ซึ่งปัจจุบันอยู่ราว 12 ล้านล้านบาท จาก GDP ประมาณ 19 ล้านล้านบาท หากเศรษฐกิจโต ระดับหนี้สาธารณะก็จะอยู่ในกรอบ
อีกส่วนหนึ่งของงบ 115,375 ล้านบาท จะจัดสรรเข้ากองทุนเพื่อปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำมาก (Soft Loan) ผ่านธนาคารรัฐและเอกชน โดย
• ให้ดอกเบี้ย 0.01% แก่ธนาคารรัฐ เช่น ธ.ก.ส. และออมสิน
• เสริมทุนกองทุนประกันสังคมอีก 10,000 ล้านบาท เพื่อปล่อยกู้สมาชิกในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3%
สำหรับ หนี้ครัวเรือนของไทย ขณะนี้อยู่ที่ 88% ต่อ GDP ลดลงจาก 91% แต่หนี้ดีที่ก่อให้เกิดรายได้ยังต่ำ จึงต้องเน้นช่วยลูกหนี้ที่ใกล้เป็นหนี้เสีย (NPL) ผ่านโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ซึ่งมีหลักการคือ
• ลดหนี้ต้นทันที 50-70% โดยไม่คิดดอกเบี้ย หากแสดงความตั้งใจชำระหนี้คืน
• ขยายวงเงินช่วยลูกหนี้ไม่มีหลักประกัน (unsecured creditor) เป็น 10,000 ล้านบาท
• ลูกหนี้มีหลักประกัน (สีเขียว) ขอรับความช่วยเหลือได้ถึง 30,000 บาท
ปัจจุบันพบว่าลูกหนี้ 5 ล้านราย หนี้รวม 1.19 ล้านล้านบาท จากหนี้ครัวเรือนทั้งสิ้นกว่า 13 ล้านล้านบาท โดย 3.5 ล้านรายเป็นหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท ซึ่งหากจัดการได้จะลดภาระระบบได้อย่างมาก
พร้อมกันนี้ พิชัยระบุว่า จากการรวบรวมโครงการทั่วประเทศ พบว่ามีแผนพัฒนามูลค่ากว่า 4 ล้านล้านบาท รอการผลักดันต่อไปในระยะกลางและยาว เพื่อเสริมขีดความสามารถการแข่งขันของภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม มองว่า รัฐไม่ควรดำเนินการเอง แต่ควรสร้างระบบสนับสนุนให้เอกชนเก่งขึ้น เพราะเอกชนไทยมีความสามารถอยู่แล้ว