ขายทำกำไรทุบหุ้นไทยดิ่ง ! หลังตลาดรู้ผล "ภาษีทรัมป์" ลุ้นแค่ปรับฐานก่อนวิ่งต่อ
สิ้นสุดการรอคอย ! หลังประธานาธิบดี “โดนัล ทรัมป์” ผู้นำสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทย 19% เท่ากับกัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ซึ่งลดความกังวลต่อ ผลกระทบภาคส่งออก การลงทุนโดยตรงจาก ต่างประเทศ (FDI) ได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่เพื่อนบ้านอย่างเวียดนามถูกเก็บภาษี 20% เมียนมา 40% และลาว 40% ซึ่งระดับอัตราภาษีตอบโต้ดังกล่าวทำให้ไทยสามารถที่จะแข่งขันทางการค้ากับคู่ค้าได้ ในสภาวะที่สหรัฐกีดกันการค้าเข้มขึ้น โดยที่ไทยไม่ได้เสียเปรียบมากนัก แต่ให้จับตาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่อาจยังไม่จบ และส่งผลให้ไทยโดนผลกระทบทางอ้อม จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง ผลพวงภาวะเศรษฐกิจจีนเปราะบางมากขึ้น
ทันทีที่ “ทรัมป์” ประกาศขึ้นภาษีในอัตราดังกล่าว หุ้นไทยเด้งตอบรับเปิดตลาด บวก 7.57 จุด หรือ 0.61 % อยู่ที่ 1,249.92 จุด แต่ระหว่างวันดัชนีจะปรับตัวลงลึก หลังตลาดรับรู้ข่าวสารทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นทำกำไร
โดยTNN Online ได้สัมภาษณ์กูรูตลาดทุนอย่าง “ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัสมองว่า สหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยเท่ากับค่าเฉลี่ยทั่วโลกคือ 19% จากเดิมที่คาดว่าจะเก็บภาษีในอัตรา 36% ขณะที่อัตราภาษีทั่วโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 31% ทำให้สถานการณ์ส่งออกและเศรษฐกิจคลี่คลายดีขึ้น คาดจีดีพีปีนี้โตต่ำกว่า 2% และการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยลดน้อยลง
นอกจากนี้คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ซึ่งมีประชุมวันที่ 13 ส.ค.นี้ อาจปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% จากดอกเบี้ยปัจจุบัน 1.50% เพื่อพยุงเศรษฐกิจ โดยการลดดอกเบี้ยอาจทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าส่งผลดีต่อผู้ส่งออกและบรรเทาผลกระทบจากภาษีทรัมป์
โดยกลยุทธ์การลงทุนเน้น 3 ธีมคือ 1. กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่ราคาปรับฐานลงมาลึกตั้งแต่ ต้นปี(YTD) เช่น AMATAร่วงมากถึง 44% WHA ร่วง 35% มีโอกาสฟื้นกลับ 2. กลุ่มส่งออก เช่น STA ราคาร่วง 22% ITC ราคาร่วง 34% และ TU ร่วง 15% และ 3 หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า
1.หุ้น SET 100 กลุ่ม TARIFF PLAY ที่ราคาปรับฐานลงมาลึกตั้งแต่ ต้นปี(YTD) อาทิ นิคม(AMATA, WHA) ส่งออก(ITC, STGT, STA, TU, CPF) 2.หุ้นกลุ่มได้ประโยชน์จากค่าเงิน บาทอ่อนค่า + ลดดอกเบี้ย อาทิ BH, BDMS, ERW, CENTEL, MTC, SAWAD
“ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี ประเมินว่า ไทยได้ดีล Reciprocal Tariff จากสหรัฐอัตรา 19% ใกล้เคียงประเทศอื่นๆในภูมิภาค ทั้งฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย แต่ต่ำกว่าเวียดนาม กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้น Reopening Trade ที่ Deep Value กลุ่มส่งออก เช่น KCE, HANA กลุ่มนิคม WHA, AMATA กลุ่มได้ประโยชน์จากการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ คาดต้นทุนลดลง ADVANC, COM7, ADVICE, INSET นำเข้าก๊าซ : PTTGC, GPSC, BGRI
“วิลาสินี บุญมาสูงทรง” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก มองว่า สหรัฐเปิดเผยอัตราภาษีศุลกากรที่จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าสินค้าจากไทยต่ำกว่าอัตราเดิมที่ระดับ 36% เหลือ 19% เท่ากับกัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยต่ำกว่าเวียดนามที่ถูกเรียกเก็บในอัตรา 20% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ซึ่งจะช่วยให้สินค้าส่งออกของไทยสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ได้ดีขึ้น ไม่เสียเปรียบด้านราคามากเกินไปช่วยลดแรงกดดันต่อภาคส่งออกโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มสำคัญที่อ่อนไหวต่อภาษีนำเข้า เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มยานยนต์ และกลุ่มยางพารา ซึ่งที่ผ่านมามีความกังวลว่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากอัตราภาษีเดิมที่ระดับ 36%
โดยแนะนำลงทุนหุ้น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย
- กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม : AMATA, WHA ,ROJNA
- กลุ่มส่งออกอาหาร : TU, ITC, AAI
- กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ : HANA, KCE, DELTA
ทั้งนี้เนื่องจากช่วงก่อนหน้าที่ถูกสหรัฐประกาศเก็บภาษีที่ 36% หุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวลงแรงต่อเนื่องอาจมีแรงซื้อกลับ ส่วนดัชนีหุ้นไทยเดือนส.ค.มีโอกาสปรับตัว Sideway Up โดยมีแรงหนุนจากต่างประเทศ หลังจากสหรัฐเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราภาษีศุลกากรที่จะเรียกเก็บจากประเทศต่าง ๆ เสร็จแล้ว คาดกรอบดัชนีระหว่าง 1,220-1,270 จุด
ปิดท้ายที่ “อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์กลยุทธ์ สำนักวิจัยทิสโก้ มองว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับขึ้นมากว่า 130 จุด ดังนั้นการประกาศขึ้นภาษีทรัมป์กับไทยจาก 10% เป็น 19% ถือว่าเป็นอัตราที่ไม่สูงมาก ซึ่งจากการสอบถามบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ก็มีการวางแผนรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้น ด้วยการรับภาระต้นทุนบางส่วนไว้เอง หรือบางรายก็ผลักภาระให้กับผู้ซื้อ แต่ออร์เดอร์จะลดลงหรือไม่ ยังไม่สามารถประเมินได้ต้องรอดูสถานการณ์ จากที่ก่อนหน้านี้ “ทรัมป์” ได้ขยายเวลาการขึ้นภาษีนำเข้าทำให้มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าไปแล้ว
ส่วนหุ้นไทยที่ปรับตัวลง คาดว่าเป็นการพักฐานเพื่อไปต่อ โดยประเมินดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,270 จุด ส่วนการประชุมกนง.คาดว่าจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% เนื่องจากตลาดพันธบัตรระยะเวลา 10 ปี ปรับลงมาที่ระดับ 1.5% ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75%
ด้านทิศทางหุ้นไทยในเดือนส.ค.ติดตามสถานการณ์การเมือง ประเด็นนายกฯ ยื่นชี้แจงปมคลิปเสียงฮุนเซนหลุด รวมถึงปัญหาไทย-กัมพูชาต้องติดตามใกล้ชิด แม้ว่าการค้าไทยกับกัมพูชามีสัดส่วนไม่ถึง 2% ของการค้าโลก ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้น Selective Buy ธีมดอกเบี้ยลด กลุ่มไฟแนนซ์ และไฟฟ้า เช่น AMATA ราคาเป้าหมาย 35 บาท COM7 ราคาเป้าหมาย 28 บาท GPSC ราคาเป้าหมาย 36 บาท GULF ราคาเป้าหมาย 55 บาท KKP ราคาเป้าหมาย 50 บาท PR9 ราคาเป้าหมาย 31 บาท และ SCB ราคาเป้าหมาย 28 บาท
แม้ว่าตัวเลขภาษีของสหรัฐฯ จะมีความชัดเจนออกมา แต่ผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถประเมินได้ เนื่องจากต้องรอดูกำลังซื้อของคู่ค้า ว่าลดน้อยถอยลงไปแค่ไหน และระบบการค้าโลกจะบิดเบี้ยวเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามกันต่อไปในระยะยาว….
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- จับทิศทาง "หุ้น" หลังเส้นตาย "ภาษีทรัมป์”
- ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ คืออะไร? เข้าใจง่าย ฉบับ 101
- "อมรเทพ" มอง "ภาษีทรัมป์" ดีเกินคาด ชี้ 7 โอกาส "เศรษฐกิจไทย" สร้างงจุดขาย-แข่งขันได้-รอดถดถอย
- "ภาษีทรัมป์" 19% หนุน SET เด้ง 1,260 "หยวนต้า" แนะเก็บหุ้น Laggard กลุ่ม
- "พิชัย" ปลื้มทีมไทยแลนด์ปิดดีลภาษีสหรัฐ 19% สะท้อนสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ แน่นแฟ้น