ปูตินเตือนยูเครน-ยุโรป “อย่าทำลาย” ความคืบหน้าจากการหารือกับทรัมป์
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองแองคอราจ รัฐอะแลสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย แถลงร่วมกันภายในห้องรับรอง ของฐานทัพร่วมเอลเมนดอร์ฟ-ริชาร์ดสัน ในเมืองแองคอราจ รัฐอะแลสกา หลังหารือกันเป็นการภายในนานกว่า 3 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการพบหน้าหารืออย่างเป็นทางการครั้งแรกของผู้นำทั้งสองประเทศ นับตั้งแต่การพบกันที่กรุงเฮลซิงกิของฟินแลนด์ เมื่อปี 2561
ทั้งนี้ ทรัมป์ให้เกียรติปูตินเป็นผู้แถลงก่อน ซึ่งถือเป็นการ "แหวกธรรมเนียมปฏิบัติทางการทูต" ของประธานาธิบดีสหรัฐโดยทั่วไป ที่มักต้องเป็นฝ่ายเริ่มการแถลงหลังพบหารือกับผู้นำคนใดก็ตาม
ปูตินเริ่มด้วยการกล่าวว่า รัสเซียมองสหรัฐเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด เนื่องจากหากวัดจากชายฝั่งของรัฐอะแลสกา ถือว่าทั้งสองประเทศอยู่ห่างกันเพียง 4 กิโลเมตร และจึงเป็นเหตุผลว่า เพราะเหตุใดตัวเขาจึงกล่าวกับทรัมป์ว่า "สวัสดีเพื่อนบ้าน" เมื่อลงจากเครื่องบินและพบกับทรัมป์ที่รอต้อนรับอยู่บนรันเวย์
ผู้นำรัสเซียกล่าวต่อไปว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับรัสเซียอยู่ในจุดต่ำที่สุด นับตั้งแต่สมัยสงครามเย็น การพบหารือระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ "ควรเกิดขึ้นนานแล้ว" แม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีการสนทนากันทางโทรศัพท์แล้วหลายครั้ง
ปูตินกล่าวว่า ประเด็นสำคัญของการหารือกับทรัมป์ครั้งนี้ แน่นอนว่า เกี่ยวกับยูเครน ซึ่งผู้นำรัสเซียกล่าวว่า "การยุติข้อพิพาทอย่างยั่งยืนและระยะยาว จำเป็นต้องขจัดสาเหตุหลักของความขัดแย้ง” โดยไม่มีการขยายความว่า หมายถึงอะไร แต่กล่าวว่า "สถานการณ์ในยูเครนเกี่ยวพันกับภัยคุกคามพื้นฐานต่อความมั่นคงของรัสเซีย" พร้อมทั้งเตือนยูเครนและยุโรป "อย่างทำลายความคืบหน้าที่กำลังก่อตัว"
ผู้นำรัสเซียกล่าวด้วยว่า การที่ทรัมป์ใส่ใจกับความรุ่งเรืองภายในประเทศ เป็นเรื่องที่รัสเซียเล็งเห็น และผู้นำสหรัฐเข้าใจว่า "รัสเซียมีผลประโยชน์ของตนเอง” เช่นกัน รัสเซียพร้อมทำงานกับสหรัฐ และข้อตกลงที่บรรลุร่วมกันจะช่วยให้ทุกฝ่ายเข้าใกล้เป้าหมายนั้นมากขึ้น และปูทางสู่สันติภาพในยูเครน และ "เห็นด้วย" กับการที่ผู้นำสหรัฐกล่าวว่า "ความมั่นคงของยูเครนควรได้รับการคุ้มครองเช่นกัน”
นอกจากนี้ ปูตินเสนอเป็นเจ้าภาพจัดการพบหารือครั้งต่อไปกับผู้นำสหรัฐ ที่กรุงมอสโก และทิ้งท้ายว่า สงครามในยูเครนเมื่อปี 2565 คงไม่เกิดขึ้น หากทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐตอนนั้น.
เครดิตภาพ : AFP