วิกฤต ? "เที่ยวไทย" นักท่องเที่ยวติดลบ 5 เดือนต่อเนื่อง เร่งจับตลาดระยะไกล-จ่ายหนัก
วิกฤต ? "การท่องเที่ยวไทย " ในวันที่ต่างชาติลดลง ไปไม่ถึงเป้า
จับตาภาคการท่องเที่ยวของไทย นักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัวติดลบทุกเดือนต่อเนื่อง 5 เดือนตั้งแต่ต้นปี รวมผ่านมาครึ่งปีที่ผ่านมาติดลบไปแล้ว 5% โดยเฉพาะคนจีนที่เคยเป็นเบอร์ 1 หายไปอย่างหนัก แล้วครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไรต่อไป ?
ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่าประเทศไทยมียอดนักท่องเที่ยวต่างชาติติดลบหรือหดตัวต่อเนื่องกันถึง 5 เดือน มีเพียงแค่เดือนมกราคมเดือนแรกเดือนเดียวเท่านั้นที่บวกได้ 22% หลังจากนั้นเป็นต้นมา 5 เดือนติด เราเจอกับภาวะขาลง นักท่องเที่ยวติดลบต่อเนื่อง ได้แก่
กุมภาพันธ์ -7%
มีนาคม -9%
เมษายน -8%
พฤษภาคม -14%
มิถุนายน -15 %
ขณะเดียวกันเมื่อนับยอดรวมสะสมในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมที่ 16.7 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงไปถึง 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สร้างรายได้อยู่ที่ 771,555 ล้านบาท ติดลบ 2.31% และพบว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกหายไปมากที่สุด คือ ติดลบถึง 12% และจีนเป็นเบอร์หนึ่งที่หายไป คือหดไปถึง 34 % ตามด้วยเกาหลีใต้ ลาว และมาเลเซีย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในครึ่งปีหลังที่เหลือ ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย ยังคงมีปัจจัยลบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยจากเศรษฐกิจที่หลายประเทศเจอกับภาวะชะลอตัวจนมากระทบแผนการท่องเที่ยว ประเด็นสงครามในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ยังคงต้องติดตาม ปมชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา หรือแม้กระทั่งความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ รวมไปถึงปัจจัยการเมืองในประเทศ ทำให้ทั้งปี 2568 ปีนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะต่ำกว่า 34.5 ล้านคน
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง หมายความว่าการท่องเที่ยวไทยจะไปไม่ถึงดวงดาว ไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ที่ 35.5 ล้านคน แถมยังต่ำกว่าตัวเลขปีก่อนที่มีนักท่องเที่ยวทั้งหมด 35 ล้านคน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าตกใจไม่น้อย เพราะเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาหลายฝ่ายเคยให้ความมั่นใจประกาศตั้งเป้าไว้ว่าปีนี้ประเทศไทยจะขอต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากถึง 40 ล้านคน
ผ่านมาครึ่งปีวันนี้คนจีนเข้ามาเที่ยวไทยเพียงแค่ 2 ล้านกว่าคน เทียบกับช่วงเดียวกันตอนพีคๆ ยุคก่อนโควิด ปี 62 เราเคยมีนักท่องเที่ยวจีนสูงถึง 11 ล้านคน ดังนั้นเมื่อการท่องเที่ยวเปลี่ยนทิศไป ก็ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนจะต้องปรับตัวตามให้ทัน
ส่วนสาเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนในไทยลดลง ได้แก่ ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของไทย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผ่านมาหลายปีคนจีนครองแชมป์เบอร์ 1 กลุ่มคนต่างชาติเที่ยวไทย แต่วันนี้หล่นลงไปเป็นเบอร์ 2 โดยมีมาเลเซียขึ้นมาแทนด้วยตัวเลขที่ไม่ห่างกันมากนัก ส่วนอินเดียเริ่มมามากขึ้นไล่มาอยู่อันดับที่ 3 ตามด้วยรัสเซีย และเกาหลีใต้
ถามว่าคนจีนหายไปเที่ยวไหนกันหมด? แล้วเราจะปรับตัวอย่างไร ?
ข้อมูลด้านหนึ่งจากทางศูนย์วิจัยและข้อมูลธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME D bank รายงานว่าไตรมาสแรกหรือสามเดือนแรกของปีนี้ 2568 นักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยนจุดหมายปลายทางจากไทยไปยังประเทศอื่นแทน โดยเฉพาะเวียดนาม และญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศของรัฐบาลจีน ซึ่งพบว่ากระแสตอบรับดี เพราะมีคนจีนเที่ยวจีนมีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ดังนั้นเมื่อทิศทางการท่องเที่ยวเปลี่ยนไป คนจีนเปลี่ยนทิศ ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะรายย่อยอย่าง SME ในภาคท่องเที่ยวและบริการ ก็ต้องเร่งปรับตัวตามให้ทัน มองหาโอกาสใหม่ ๆ และเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ
SME D bank ให้ข้อเสนอแนะแก่ SME เพื่อปรับตัว 4 แนวทาง ดังนี้
1. เจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่:
นอกเหนือจากจีน มองหาตลาดใหม่ๆ ที่มีกำลังซื้อและชื่นชอบประเทศไทย เช่น กลุ่มนักท่องเที่ยวระยะไกล เช่น ยุโรป สหรัฐฯ ออสเตรเลีย
2. ยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยว:
สร้างความประทับใจด้วยสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ เน้นความแตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่ม
3. ปรับกลยุทธ์การตลาด:
ใช้ช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียให้เกิดประโยชน์ โปรโมทสินค้าและบริการให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ อย่างตรงจุด
4.สร้างเครือข่ายและความร่วมมือ:
ร่วมมือกับ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและขยายโอกาสทางธุรกิจ
นักท่องเที่ยวจีนหายไป ใครจะมาแทนที่ได้ ?
คำตอบและทางรอดตอนนี้ คือ นักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง กลุ่มระยะไกล
มุ่งเน้นไปที่ใช้จ่าย ไม่เน้นแค่ตัวเลขจำนวนคน
ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยระบุว่า การท่องเที่ยวของไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก
โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
Long Haul (34%) จากยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งมีระยะเวลาเดินทางนานและใช้จ่ายต่อหัวสูง
Short Haul (66%) จากอาเซียน เอเชียตะวันออก เอเชียใต้ ซึ่งมีระยะเวลาเดินทางสั้นและใช้จ่ายน้อยกว่า แต่ได้เปรียบในเชิงปริมาณ
ซึ่งปัจจุบันนี้ไทยมีนักท่องเที่ยวกลุ่ม Short Haul ที่สำคัญได้แก่ มาเลเซีย จีน อินเดีย เกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และลาว
ส่วนกลุ่ม Long Haul คือ รัสเซีย ยูเครน สหรัฐอเมริกา และเยอรมนี ซึ่งเป็นผลมาจากความพร้อมของสายการบิน
นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันนี้ไทยมีนักท่องเที่ยว Long Haul เพิ่มขึ้น 10-20% ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวสูงขึ้น นับเป็นการบ่งชี้ว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ "การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ" แม้กระทั่งนักท่องเที่ยวจีนก็เปลี่ยนจากกรุ๊ปทัวร์กลายเป็นกลุ่ม Free Individual Traveler (FIT) หรือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงกว่า 80% ซึ่งคาดว่าจะกลับมาได้ในไม่ช้านี้
ขณะที่นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ล่าสุด ททท.ได้กำหนดแนวทางสำหรับปีหน้า ปี 2569 คือ การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่มุ่งสู่คุณภาพ สร้างสมดุลและความยั่งยืน เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์เฉพาะตัว ความปลอดภัย และความยั่งยืน โดยได้ทบทวนจุดยืนใหม่ โดยเฉพาะการปรับสมดุลตลาด เน้นสร้างรายได้ในระยะสั้น และวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว
สำหรับตลาดต่างประเทศจะเน้นการ Relocation สร้างความสมดุลตลาดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก แก้ปัญหาภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเก่าในสายตานักท่องเที่ยว และการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยว รวมถึงเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีกำลังซื้อและใช้จ่ายทางการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
ขณะที่ตลาดในประเทศจะมุ่งไปที่การเพิ่มความถี่ในการเดินทางของคนไทยทั้งภายในภูมิภาคและข้ามภูมิภาค ด้วยการจัดกิจกรรมและบิ๊กอีเวนต์ให้เกิดการเดินทางตลอดทั้งปี ส่งเสริมเมืองน่าเที่ยว พร้อมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมียอดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 35 ล้านคน สร้างรายได้ที่กว่า 1.67 ล้านล้านบาท
นักท่องเที่ยวติดลบ เป็น เรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญ เพราะการท่องเที่ยวถือเป็นหนึ่งในรายได้หลักของประเทศไทย เศรษฐกิจจะดีหรือไม่ ท่องเที่ยวไทยเป็นหนึ่งในตัวแปร เพราะ GDP ของไทยในปัจจุบันนี้มาจากภาคบริการเกินครึ่ง ดังนั้นนี่คือแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยที่เราทุกคนไม่อาจจะมองข้ามได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- จีนเปิดตัว “หุ่นยนต์มนุษย์” เปลี่ยนแบตเตอรี่เองได้ ตัวแรกของโลก
- สหรัฐฯมั่นใจปิดดีล EU ทันเส้นตาย 1 สิงหา 68 หลังขู่รีดภาษี 30% เผยหลังเส้นตายยังเปิดทางเจรจาต่อได้
- 'จีน' ออกมาคัดค้าน 'แคนาดา' เหตุจำกัดนำเข้าเหล็ก ชี้ขัดกฎ WTO - กระทบผลประโยชน์จีน
- ผู้นำสหรัฐฯ-จีน อาจพบหารือในเวที APEC ตุลาคมนี้
- เส้นตาย "ภาษีทรัมป์" ประเทศไทยถูกเรียก 36% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก มากกว่าภูมิภาค เสี่ยงกระทบเศรษฐกิจ