TU คุมมาร์จิ้นแกร่ง เคาะปันผล 0.35 บาท
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 5 สิงหาคม 2568 เวลา 0.52 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น - TU ประกาศงบ Q2/68 มีกำไร1,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.2% ขณะที่กำไรขั้นต้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.7% หนุนด้วยต้นทุนวัตถุดิบลดลง ด้านเป้าทั้งปี 68 ปรับยอดขายลดลงเล็กน้อยตามภาษีสหรัฐฯ แต่เพิ่มงบลงทุนทะลุ 4 พันลบ.พร้อมปันผล 0.35 บ./หุ้น พร้อมประกาศผนึกกำลังสองบิ๊กคอร์ป TU x มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น มั่นใจสามารถสร้างการเติบโตอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลกอย่างยั่งยืน
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทฯ รายงานยอดขายอยู่ที่ 33,389 ล้านบาท ลดลง 5.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลกระทบเชิงลบจากอัตราแลกเปลี่ยน 4.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และการลดลงของยอดขายจากการดำเนินงานปกติ 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากการลดลงของยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง เนื่องจากความต้องการซื้อที่ชะลอตัวในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม ยอดขายจากการดำเนินงานปกติของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ธุรกิจอาหารสัตว์ และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 6,567 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป เนื่องด้วยสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.7% เทียบกับ 18.5% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าเป้าหมายทั้งปีของบริษัทฯ
กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 68 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งบันทึกรายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 237 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2567 รายได้อื่นอยู่ที่ 177 ล้านบาท ลดลง 30.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นจากบริษัท ไอเทล ในไตรมาส 2 ปี 2567
ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าอยู่ที่ 158 ล้านบาท ลดลงจาก 179 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2567 ต้นทุนทางการเงินอยู่ที่ 586 ล้านบาท ลดลงจาก 620 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทั่วโลก ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้อยู่ที่ 209 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 44 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้วยเหตุนี้ กำไรสุทธิตามที่ปรับปรุง (ไม่รวม transformation costs) อยู่ที่ 1,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิตามที่ประกาศอยู่ที่ 1,273 ล้านบาท
บทวิเคราะห์ผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดขายลดลง 7.8% และกำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อย 0.8% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 19.3% อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 6.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจาก transformation costs และค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น
ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้น 32.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจาก Avanti Group ต้นทุนทางการเงินลดลง 7.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีเครดิตภาษีเงินได้อยู่ที่ 213 ล้านบาท เทียบกับค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 173 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเครดิตภาษีเงินได้นี้ ส่วนใหญ่เป็นผลจากการกลับรายการหนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชีที่ไม่ใช่เงินสดครั้งเดียว สำหรับการปรับโครงสร้างของเงินลงทุนใน Avanti ในไตรมาส 1 ปี 2568 โดยรวม กำไรสุทธิตามที่ปรับปรุง (ไม่รวม transformation costs) อยู่ที่ 2,823 ล้านบาท เติบโตอย่างแข็งแกร่ง 11.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิตามที่ประกาศลดลง 3.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับเป้าหมายปี 2568 บริษัทได้ปรับเป้าหมายผลประกอบการปี 2568 ให้สอดคล้องกับอัตราภาษีสหรัฐฯ ใหม่ที่ 19% โดยคาดยอดขายจะลดลงจากปีก่อน 1-2% จากเดิมที่คาดเติบโต 1-3% ส่วนอัตรากำไรขั้นตอนคาดที่ 18.5-19.00% แต่ในส่วนงบลงทุนปรับเพิ่มเป็น 3.5-4 พันล้านบาท จากเดิม 3-3.5 พันล้านบาท
พร้อมที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.35 บาทต่อหุ้น กำหนดวัน ที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 15 สิงหาคม 2568 และกำหนดวันที่จ่ายปันผล 01 กันยายน 2568 คิดเป็นอัตราการ จ่ายเงินปันผลที่ 59% และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 3.0%
ขณะที่ นอกจากนี้ สองผู้นำอุตสาหกรรมอาหารระดับโลกTU และ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ได้มีการเข้าลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ ซึ่งเป็นการต่อยอดความร่วมมือที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2534 เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ความยั่งยืน และความเป็นเลิศในระดับโลก ภายใต้สัญญาความร่วมมือดังกล่าว มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน TU จาก 6.19 เปอร์เซ็นต์ เป็น 20 เปอร์เซ็นต์ (ไม่นับรวมหุ้นซื้อคืน) ผ่านการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั่วไป
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า “การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่างไทยยูเนี่ยนและมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ตั้งอยู่บนรากฐานของความไว้วางใจที่สั่งสมมายาวนานหลายทศวรรษ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจและวิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสองบริษัท ในการขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก เราจะร่วมกันเร่งสร้างการเติบโต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืนให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก เราเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะสามารถสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย และตอกย้ำสถานะของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมอาหารทะเล”
ทั้งนี้ การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยยูเนี่ยน โดย
มิตซูบิชิยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่สี่ มีตัวแทนนั่งในคณะกรรมการบริษัทตามเดิม และไม่มีผลต่อโครงสร้างทีมผู้บริหารระดับสูงของไทยยูเนี่ยน
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง TU ว่ามองเป็นกลางจาก ไตรมาส 2/52568 ใกล้เคียงคาด สำหรับ ไตรมาส 3/2568 เบื้องต้นคาดการณ์กำไรปกติจะอ่อนตัวต่อเนื่อง YoY จากบาทแข็งและ SG&A สูงขึ้นตามการลงทุน transformation แต่มีโอกาสทรงตัวหรือชะลอ QoQ จากประเด็น tariffs ที่มีโอกาสเห็นผลกระทบมากขึ้น ทั้งนี้มีโอกาสปรับกำไรปกติปี 2568 ขึ้นเล็กน้อยจากเดิมที่ 3.7 พันล้านบาท (-26% YoY) เพื่อสะท้อน GPM ที่ดีกว่าคาด แต่ถูกชดเชยบางส่วนจากการปรับสมมติฐานยอดขายลง เราคงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 10.50 บาท อิง SOTP