TU เปิดทางมิตซูบิชิถือหุ้น 20% เคาะซื้อ 12.50 บ. ขึ้นเป็น “หุ้นส่วนธุรกิจ”ไร้กระทบผู้ถือหุ้นใหญ่
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ได้รายงานรับหนังสือจาก มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น แจ้งเจตจำนงในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เพิ่มเติมโดยการรับซื้อหุ้นเป็นการทั่วไป มีความประสงค์จะเข้าซื้อหุ้นในบริษัทเพิ่มเติมจำนวน 532,273,639 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 13.81 %ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายได้แล้ว มีราคารับซื้อหุ้นกำหนดไว้ที่ 12.50 บาทต่อหุ้น
ทางมิตซูบิชิสามารถได้หุ้นเพิ่มเติมครบตามจำนวนที่กำหนดไว้ทั้งหมดกลายเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทรวม 771,018,759 หุ้น หรือคิดเป็น 20.00% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ (ไม่รวมหุ้นซื้อคืนที่บริษัทถืออยู่) ทั้งนี้ไม่มีความประสงค์จะได้หุ้นของบริษัท เกินกว่าสัดส่วน 20.00 % และในกรณีที่จำนวนไม่เพียงพอที่จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นถึง 20.00 % จะยกเลิกข้อเสนอรับซื้อหุ้นทั้งหมด
ปัจจุบันตามโครงสร้างการถือหุ้น 5 อันดับแรก TU อันดับ 1. ไทยเอ็นวีดีอาร์ 408 ล้านหุ้น หรือ 9.16 % อันดับ2. บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป 323 ล้านหุ้น หรือ 7.26% อันดับ 3.ธีรพงศ์ จันศิริ 264 ล้านหุ้น หรือ 5.97% อันดับ 4.MITSUBISHI UFJ MORGAN STANLEY SECURITIES CO.,LTD. 238 ล้านหุ้น หรือ 5.36% และ อันดับ 5.เชง นิรุตตินานนท์ 200 ล้านหุ้น หรือ 4.50%
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU เปิดเผย ถึงกรณี มิตซูบิชิ เข้าซื้อหุ้นเพิ่มสัดส่วนเป็น 20 % เป็นการลงทุนแง่ Strategic partnership หรือ “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์” ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารหรือทีมผู้บริหารแต่อย่างใด ทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่สุด ผู้ก่อตั้งรวมทั้งกลุ่มตนที่ถือหุ้น 30 % ยังถือหุ้นสัดส่วนเดิมไม่แตกต่างจากในอดีต เพราะเป็นการเข้ามาลงทุนนัยสำคัญที่เชื่อมั่นทีมผู้บริหารและฝ่ายจัดการ เพื่อให้สามารถรับรู้รายได้-กำไรหรือขาดทุนได้ทันทีไม่ใช่แค่เงินปันผลเท่านั้น เพราะมีเน็ตเวิร์กที่หนุนทั้ง 2 ฝ่าย
ตามกระบวนการซื้อหุ้นคาดว่าจะสิ้นสุดในเดือนส.ค. ทาง มิตซูบิชิ ต้องยื่นเอกสารไม่เกี่ยวข้องกับ TU ซึ่งราคากำหนดใช้ราคาเฉลี่ย 30 วันย้อนหลังบวกค่าพรีเมี่ยม 20 % ส่วนกองทุนและสถาบันต่างประเทศรายอื่นมีความสนใจเข้ามาคุยกับทาง TU ด้วยแวลูบริษัทและบจ.ในตลาดหุ้นไทยลดลงต่ำมากสุดในภูมิภาค บวกกับความชัดเจนภาษีสหรัฐและไทยที่ 19% ทำให้ไทยไม่เสียความสามารถแข่งขัน และดีกว่าหลายประเทศ โดยเฉพาะกุ้งแช่แข็งที่อินเดีย -เวียดนามและอินโดฯ เจอภาษีป้องกันการสวมสิทธิ์
“นักลงทุนไม่ต้องแพนิกเพราะทางมิตซูบิชิ เข้ามาเป็นพาร์เนอร์ร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับTU ตั้งแต่ปี 2534 และคุยกันปลายปี 2567 ว่าสนใจกระจายลงทุนต่อเนื่องในหลายประเทศมีไทย-เวียดนามและอินโดฯ สำหรับ TU ถือเป็น Strategic partner อุตฯอาหารทะเลที่น่าเชื่อถือและไว้ใจได้ ที่สำคัญบริษัทดำเนินการมา 50 ปี มีผลประกอบการที่ดีไม่ได้เป็นบริษัทที่มีปัญหา ไม่ได้ต้องการเงินทุนแต่สนใจว่าเข้ามาแล้วเสริมและพัฒนาธุรกิจมากกว่า"
จุดแข็งและประโยชน์ที่เกิดขึ้น TU มีโกลบอลเน็ตเวิร์กอาหารทะเล -อาหารแช่แข็งและอาหารสัตว์ มีแบรนด์ชั้นนำและรับจ้างผลิตให้กับรายใหญ่ของโลกซึ่งมิตซูบิชิเป็นหนึ่งในนั้น และมีจุดแข็งที่จะเข้ามาเสริม TU ทั้งการทำธุรกิจทูน่า-ชาชิมิรายใหญ่อันดับ 1 ในญี่ปุ่น เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Lawson ดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ Petline อาหารสัตว์ในญี่ปุ่น Nosan
รวมทั้งธุรกิจจำหน่ายแซลมอนเป็นอันดับ 2 ของโลก และน่าจะเป็นธุรกิจที่สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดธุรกิจให้ TU ได้ เนื่องจากมีไอเดียทำตลาดซูชินอกญี่ปุ่น เช่น ตลาดสหรัฐมีร้านอาหารซูชิถึง3 หมิื่นร้าน รวมไปถึงธุรกิจอาหารสัตว์ที่ TU มี บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ดังนั้นเชื่อว่านอกจากจะมีการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและโนฮาวทางธุรกิจแล้วยังเป็นการเพิ่ม โกลบอลเน็ตเวิร์กให้กับ TU จากคู่ค้าที่มิตซูบิชิค้าขายอยู่จะเปลี่ยนมาที่ TU แทนในบางรายธุรกิจ
นายธีรพงศ์ กล่าวว่าเพิ่มเติม ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2568 ยอดขายรวมกว่า 33,389 ล้านบาท กำไรสุทธิปรับปรุงอยู่ที่ 1,506 ล้านบาท (ไม่รวม transformation costs) เพิ่มขึ้น 13.2 %จากปีก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.7% กำไรสุทธิที่ 1,273 ล้านบาท สำหรับครึ่งแรกของปี 2568 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.2 % อยู่ที่ 2,823 ล้านบาท และกำไรสุทธิตามที่ประกาศอยู่ที่ 2,292 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในครึ่งปีแรกอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.3% บริษัทได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตรา 0.35 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่ 59 %
ส่วนกรณีที่รัฐบาลสหรัฐ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19 %สำหรับสินค้าที่จัดส่งหลังวันที่ 7 ส.ค.บริษัทได้เตรียมมาตรการรับมือภาษีดังกล่าว โดยมุ่งใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการผลิตที่กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมฐานการผลิตใน 14 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐเพื่อยกระดับประสิทธิภาพของห่วงโซ่การผลิต และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการทางภาษี ซึ่งโรงงานของไทยยูเนี่ยไทย กานา และเซเชลส์ ได้รับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐ 19, 15 และ 10 % ตามลำดับ ทำให้มีความสามารถแข่งขันที่ทัดเทียมหรือเหนือกว่าผู้ส่งออกรายใหญ่อื่น ๆ เช่น อินโดฯ 19 %และ เวียดนาม 20 %