IMF ปรับขึ้น 'จีดีพีโลก-ไทย' ความเสี่ยงภาษีทรัมป์น่าห่วงน้อยลง
ในวันนี้ (29 ก.ค. 68) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกรายงานอัปเดตแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุดเดือน ก.ค. 2568 (World Economic Outlook Update, July 2025) ปรับขึ้นคาดการณ์จีดีพีโลกในปีนี้เป็นขยายตัว 3% ดีขึ้นจากคาดการณ์เดิมในเดือนเม.ย. ซึ่งให้ไว้ที่ 2.8% และปรับขึ้นจีดีพีโลกปีหน้าเป็น 3.1% จากที่คาดไว้ 3.0%
การปรับขึ้นนี้เป็นผลจากปัจจัยการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนมาตรการภาษีจะมีผลบังคับใช้, การทยอยปรับลดภาษีศุลกากรกับหลายประเทศ, สภาวะทางการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น และการขยายตัวทางการคลังในเขตเศรษฐกิจหลักบางประเทศ
IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงในปีนี้เมื่อเทียบปีก่อน (3.3%) อันเป็นผลมาจากสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ความกังวลต่อระดับความรุนแรงของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว "ได้บรรเทาลงมาแล้ว" หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐทยอยลดอัตราภาษีศุลกากรลงมาจากระดับเมื่อช่วงปีนี้ ที่สร้างความกังวลให้กับบรรดานักเศรษฐศาสตร์
โดยรวมแล้ว IMF คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะปรับตัวลดลง แต่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐคาดว่าจะยังคงสูงกว่าเป้าหมาย ส่วนความเสี่ยงด้านลบจากภาษีศุลกากรที่อาจสูงขึ้นนั้นทำให้เกิดความผันผวนไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงมีอยู่ ซึ่ง IMF มองว่าการฟื้นฟูความเชื่อมั่น ความสามารถในการคาดการณ์ และความยั่งยืน ยังคงเป็นนโยบายสำคัญลำดับต้นๆ
ในส่วนของ "เศรษฐกิจไทย" นั้น IMF ปรับขึ้นคาดการณ์จีดีพีปี 2568 นี้ เป็นขยายตัวได้ 2% หรือดีขึ้นเมื่อเทียบคาดการณ์เดือนเม.ย. ซึ่งให้ไว้ที่ 2.8% นอกจากนี้ยังปรับขึ้นคาดการณ์ของปีหน้าเป็นขยายตัว 1.7% จากเดิมให้ไว้ที่ 1.6%
IMF ยังเป็นองค์เศรษฐกิจระหว่างประเทศรายเดียวในขณะนี้ที่ให้คาดการณ์จีดีพีประเทศไทยปีนี้แตะระดับถึง 2% เมื่อเทียบกับธนาคารโลก (World Bank) และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ซึ่งเพิ่งเปิดเผยรายงานในเดือนก.ค. นี้ และประเมินไว้ที่ 1.8% เท่ากัน
ในรายประเทศนั้น แทบจะไม่มีประเทศหลักๆ รายใดเลยที่ถูกปรับลดคาดการณ์จีดีพีลง นอกจากเกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, รัสเซีย และญี่ปุ่น (ปีหน้า) ขณะที่ในรายภูมิภาค IMF ปรับขึ้นคาดการณ์จีดีพีของกลุ่มประเทศอาเซียน-5 เป็น 4.1% ทั้งปีนี้และปีหน้า ดีขึ้นจากคาดการณ์เดิม 0.1% และ 0.2% ตามลำดับ
ปัจจุบัน IMF คาดการณ์ว่าอัตราภาษีศุลกากรที่แท้จริงในสหรัฐจะอยู่ที่ 17.3% ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ในเดือนเม.ย.ที่ 24.4% แต่ยังคงเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แนวโน้มนี้ยังได้รับแรงหนุนจากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้นำเข้าต่างเร่งซื้อสินค้าตุนก่อนที่ภาษีศุลกากรจะมีผลบังคับใช้ และร่างกฎหมายการลดภาษีที่พรรครีพับลิกันลงมติเห็นชอบซึ่งอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐได้