รอยเตอร์สขุดประวัติ ฮุน เซน นำทัพเขมรแดง-อยู่เบื้องหลังเหตุปะทะชายแดน
รอยเตอร์สชี้ ฮุน เซนเป็นผู้กุมบังเหียน
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งพื้นที่พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเผยแพร่บทความและสกู๊ปข่าววิดิโอภายใต้ประเด็นที่ว่า Cambodia's Hun Sen at the helm in border conflict with Thailand หรือแปลเป็นไทยในเชิง “ฮุน เซน ผู้กุมบังเหียนกัมพูชา ในภาวะความขัดแย้งชายแดนกับไทย” โดยนักข่าวที่เขียนบทความดังกล่าวเป็นผู้สื่อข่าวต่างชาติ ได้แก่ เดฟจโยต โกชาล หัวหน้าผู้สื่อข่าวประจำประเทศไทยและเมียนมา จากประเทศอินเดีย, ฟรานเชสโก กวาราซิโอ หัวหน้าทีมผู้สื่อข่าวประจำเวียดนาม และ ป๊อปปี แมคเฟอร์สัน ผู้สื่อข่าวประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บทความดังกล่าว รายงานสถานการณ์เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ซึ่งเกิดเหตุปะทะกันเล็กน้อยที่ชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ก็ได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน ในความขัดแย้งครั้งนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชา ฮุน เซน ได้ปรากฏตัวในหน้าสื่อบ่อยครั้งและดูเหมือนจะเป็นผู้นำหลักที่ได้เข้ามากำกับดูแลการตอบโต้ในฝั่งกัมพูชา
รูปถ่ายของเขาแสดงให้เห็นว่า เขานั่งอยู่สุดโต๊ะยาว กำลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทหารและพิจารณาแผนที่อย่างละเอียด ในมือถือวิทยุสื่อสารและมีถ้วยกาแฟสตาร์บัคส์วางอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ฮุน เซน = อดีตนักรบกองโจร
ตอนหนึ่งของบทความ ได้เรียกฮุน เซนว่า “อดีตนักรบกองโจร” ซึ่งหมายถึงการเป็นผู้นำกองทัพเขมรแดงที่สังหารประชาชน บทความย้ำว่า ในความเป็นจริงแล้ว ฮุน เซน ไม่ได้มีสถานะเป็นผู้นำกัมพูชาอีกต่อไปแล้ว หลังจากที่เขาได้ส่งมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับบุตรชายคนโต นายฮุน มาเนต เมื่อปี 2023 เป็นการก้าวลงจากตำแหน่ง ที่ยึดบัลลังก์มาเกือบสี่ทศวรรษ โดยปัจจุบัน เข้ารับตำแหน่งประธานวุฒิสภาของกัมพูชาแทน และไม่ได้มีอำนาจในการสั่งการขนาดนั้น
แต่ฮุน เซนกลับมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่นำไปสู่การสู้รบที่นองเลือดที่สุดระหว่างไทยและกัมพูชาในรอบกว่าทศวรรษ และตามแหล่งข่าวทางการทูตของกัมพูชาเอง เขาได้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่ยังคงมีอยู่ตลอดช่วงการปะทะรุนแรงที่กินเวลา 5 วัน
ออกหน้าเต็มตัว ข้ามหัวลูกชาย
เมื่อวันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม 68 ปืนใหญ่จากฝั่งกัมพูชายิงเข้าสู่พื้นที่พลเรือนในจังหวัดชายแดนของไทย กองทัพไทยตอบโต้และได้พุ่งเป้าไปที่ตัวเขาโดยตรง ในถ้อยแถลงของกองทัพไทยระบุว่า "จากหลักฐานที่มีอยู่ เชื่อว่ารัฐบาลกัมพูชา นำโดย สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน อยู่เบื้องหลังการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้" โดยใช้คำนำหน้าชื่อทางการเมืองสำหรับนักการเมืองรุ่นเก๋าคนนี้
ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการปะทะกัน ฮุน เซน ในวัย 72 ปี ได้โพสต์ข้อความมากมายบนเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เขามักใช้ เพื่อปลุกระดมผู้คนและวิพากษ์วิจารณ์ประเทศไทย ในรูปภาพที่เขาโพสต์หนึ่งในนั้น ฮุน เซน กำลังวิดีโอคอลกับคนกว่าสิบคน ซึ่งรวมถึงทหารหลายนาย ในโพสต์อื่น ๆ เขาได้แชร์รูปภาพที่เขาสวมเครื่องแบบลายพราง
นักการทูตที่ประจำอยู่ในกัมพูชาคนหนึ่งกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า "ในเหตุการณ์การปะทะกันที่ชายแดนนี้ สิ่งที่ผมประทับใจคือ การที่ฮุน เซน พยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าตัวเองเป็นผู้รับผิดชอบมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นการสวมเครื่องแบบ การปรากฏตัวในฐานะผู้กำกับดูแลการเคลื่อนกำลังพล หรือการเข้ามาแสดงบทบาทบนเฟซบุ๊ก"
เช่นเดียวกับนักการทูตคนอื่น ๆ ที่ให้สัมภาษณ์สำหรับข่าวนี้ เขาขอไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ลิม เม็งฮัว เจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชาที่ทำงานด้านนโยบายต่างประเทศกล่าวว่า ฮุน เซนทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการหลักด้านการส่งกำลังบำรุงสำหรับกองกำลังในแนวหน้า เขากล่าวกับรอยเตอร์ว่า "เขาได้เฝ้าติดตามและสังเกตการณ์สถานการณ์ตลอดเวลา"
รอยเตอร์สรายงานว่า ในทางตรงข้ามกับบิดาของเขา ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของกัมพูชา ซึ่งเป็น “พลเอกสี่ดาว” (เพราะเขาเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกและรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกัมพูชา) และสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ในสหรัฐอเมริกา กลับไม่ค่อยแสดงความเห็นทางโซเชียลมีเดียในช่วงเริ่มต้นของความขัดแย้ง แต่ได้เปลี่ยนแนวทางเมื่อเขาเตรียมตัวเดินทางไปมาเลเซียเพื่อเจรจาจนนำไปสู่การหยุดยิงในที่สุด
ชัย โสภณ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับฮุน เซน และครอบครัวที่พำนักอยู่ในกรุงพนมเปญ กล่าวว่าอดีตนายกรัฐมนตรีสามารถกำกับดูแลรัฐบาลได้ในฐานะประธานพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People's Party) "ดังนั้น นายกรัฐมนตรีต้องเคารพและปฏิบัติตามนโยบายและประธานพรรค" เขากล่าว
ย้อนประวัติฮุน เซน ในสายตานานชาติ
รอยเตอร์สย้อนประวัติฮุน เซน ภายใต้หัวข้อ “จากทุ่งนาสู่อำนาจ” ระบุว่า ฮุน เซน เป็นผู้รอดชีวิตที่มีไหวพริบในการเมืองกัมพูชาและความวุ่นวายในวงกว้างทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เขาเกิดในครอบครัวชาวนาในจังหวัดที่ถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักในช่วงสงครามลับของสหรัฐฯ และได้เข้าเป็นทหารของเขมรแดง ตั้งแต่ปี 1975 ถึง 1979 ได้สังหารประชากรไปประมาณหนึ่งในสี่ของประเทศ แต่เขาได้แปรพักตร์ไปยังเวียดนามในปี 1977 และเมื่อเวียดนามโค่นล้มเขมรแดง ฮุน เซนก็กลับมาในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนจะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
ผู้นำที่ประกาศตัวว่าเป็นคนแข็งแกร่งนี้ได้นำพากัมพูชาเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟู โดยรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าจาก 240 ดอลลาร์เป็น 1,000 ดอลลาร์ในช่วงทศวรรษตั้งแต่ปี 1993 ถึง 2013 แต่ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่กลับไปกระจุกตัวอยู่ในมือของชนชั้นสูงของประเทศ ในขณะที่คู่แข่งทางการเมืองถูกจำคุกหรือเนรเทศ สื่อที่สำคัญถูกปิดและเสียงไม่เห็นด้วยของพลเมืองก็ถูกปราบปราม ซึ่งเป็นการปูทางให้ฮุน มาเนตขึ้นสู่อำนาจ
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แม้แต่การตัดสินใจนโยบายการบริหารภายในประเทศก็ยังต้องนำไปให้ฮุน เซนอนุมัติ ตามคำบอกเล่าของนักการทูตในภูมิภาคที่ติดต่อกับเจ้าหน้าที่กัมพูชา ตอนนี้ความขัดแย้งชายแดนได้ทำให้บารมีของเขายิ่งชัดเจนขึ้น และมีการหลั่งไหลของกระแสสนับสนุนรัฐบาลบนโซเชียลมีเดีย ท่ามกลางกระแสชาตินิยม "มันไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาเป็นผู้นำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทุกคนรู้ว่าเขาเป็นผู้รับผิดชอบ" นักการทูตอีกคนในกัมพูชากล่าว "ถ้าเป้าหมายคือการเสริมสร้างชาตินิยม เขาก็ประสบความสำเร็จแล้ว"