อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ระดับ 1.50% ติดกลุ่มต่ำสุดในโลก
เมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.7% ลงเหลือ 1.50% ในการประชุมวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ทำให้เห็นภาพรวมของแนวโน้มนโยบายการเงินโลกที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดในโลก รองจากฮ่องกงที่มีอัตราดอกเบี้ย HIBOR (Overnight) อยู่ที่ 0.03% และญี่ปุ่นที่ 0.50% เท่านั้น
เมื่อวิเคราะห์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ 19 ประเทศเศรษฐกิจสำคัญ ตามรายงานของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2568 แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างสุดขั้วในการดำเนินนโยบายการเงินของแต่ละประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงสภาวะเศรษฐกิจและความท้าทายที่แต่ละประเทศเผชิญอยู่
ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด นอกจากฮ่องกงที่มี HIBOR (Overnight) เพียง 0.03% แล้ว ญี่ปุ่นยังคงใช้อัตราดอกเบี้ย 0.50% ซึ่งแม้จะเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 แต่ก็ยังสะท้อนถึงปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังที่ต้องพึ่งนโยบายการเงินผ่อนคลายเป็นเครื่องมือหลัก ธนาคารกลางญี่ปุ่นเพิ่งปรับประมาณการเงินเฟ้อพื้นฐานปีงบ 68 ขึ้นเป็น 2.7% และคาดว่าจะลดลงสู่ 1.8% ในปีงบ 69 ขณะที่คาดการณ์ GDP ปีงบ 68 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 0.6%
ไทยที่มีอัตราดอกเบี้ย 1.50% หลังการปรับลดล่าสุด จึงอยู่ในกลุ่มเดียวกับสิงคโปร์ที่ 1.56% ซึ่งสะท้อนถึงการใช้นโยบายการเงินเป็นเครื่องมือสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าการควบคุมเงินเฟ้อ ตามที่นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ กนง. ระบุว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะ SMEs ที่เผชิญกับแรงกดดันจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ
ในทางตรงข้าม กลุ่มประเทศที่ยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ นำโดยอินโดนีเซียและอินเดียที่ 5.50% ตามด้วยฟิลิปปินส์ที่ 5.25% และเวียดนามที่ 4.50%
สหรัฐฯ ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดในกลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้วที่ 4.33% ตามด้วยสหราชอาณาจักรที่ 4.25% และออสเตรเลียที่ 3.85% ขณะที่ยูโรโซนรวมถึงเยอรมนี ฝรั่งเศส สเปน และอิตาลี มีอัตราดอกเบี้ยที่ 2.15% ซึ่งอยู่ในระดับกลางๆ
การที่ไทยมีอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นอันดับ 3 ของโลกนี้ สะท้อนถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ต้องการการสนับสนุนจากนโยบายการเงิน แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงเสถียรภาพด้านเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ธนาคารกลางมีพื้นที่ในการใช้เครื่องมือนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าและการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์
แนวโน้มข้างหน้า คณะกรรมการนโยบายการเงินไทยเห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันต้องคำนึงถึงการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะปานกลางและขีดความสามารถของนโยบายการเงินที่มีจำกัด ซึ่งจะทำให้ไทยยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปในอนาคต