“สุขภาวะ-ศักยภาพ” พลังขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต PMAT ยกระดับ “คน” สร้างการเปลี่ยนแปลงองค์กร-สังคมยั่งยืน
ในยุคที่เศรษฐกิจและสังคมโลก กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว การบริหารจัดการบุคคลภายในองค์กรกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและยั่งยืนได้ท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของบุคคลากรที่สามารถขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน
นางสุดคนึง ขัมภรัตน์ นายกสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) เปิดเผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี ได้เข้ามามีบทบาทจนทำให้โลกเกิดความปั่นป่วน การรับมือที่ดีที่สุดคือการลงทุนเรื่องคนซึ่งเป็นทรัพยากรบุคคล ในวาระครบรอบ 60 ปี PMAT จึงเปิดตัวโครงการ “The Power of People: Fueled by Well-being, Run for Impact”
ประกาศเจตนารมณ์ความมุ่งมั่นที่จะเป็นเสาหลักของการพัฒนาศักยภาพบุคคล ให้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนองค์กร ให้เจริญก้าวหน้า นำพาประเทศไปสู่ความยั่งยืนอย่างสมดุล ผ่าน 3 แกนหลักคือ 1. Perspective เปิดมุมมองใหม่ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง 2. People เชื่อมโยงคนทำงานจากหลายภาคส่วน 3. Power เปลี่ยนพลังของคนให้เกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้
จุดเริ่มต้นของมรดกของคนทำงาน (Legacy) ที่จะส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นอย่างมีคุณค่า โดยเน้น 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ Lead สร้างผู้นำที่เข้าใจคน, Balance บริหารคนอย่างสมดุลและยืดหยุ่น, Sustain พัฒนา HR ให้เข้มแข็งเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว รวมถึงสุขภาวะที่ดีของบุคคลากรซึ่งจะส่งผลต่อองค์กร เป็นพลังขับเคลื่อนประเทศต่อไป
ด้าน ดร.หลุยส์ คริสธานินทร์ กรรมการบริหารสมาคม PMAT และ TLCA HCM Club, CEO, Eureka Global กล่าวว่า การบริหารจัดการคนและสร้าง “Productivity” หรือ “ผลิตภาพ” องค์กรจะต้องมีระบบการบริหารจัดการคนที่ดี และสามารถยกระดับได้ โดย PMAT ร่วมกับสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงเชิญชวนองค์กรไทยยกระดับการบริหาร “คน” และ “สุขภาวะ” สู่มาตรฐานใหม่ของความยั่งยืน
ขณะที่ รศ.ดร.นพ.จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ รองคณบดี ฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า เรื่องของ People Management & Well-being Organization เสมือนยุทธศาสตร์สู่ความสำเร็จขององค์กร และมีหลักฐานเชิงประจักษ์ในทางวิชาการเป็นจำนวนมาก เพราะการเป็นองค์กรสุขภาวะจะช่วยในเรื่องความสำเร็จและก้าวไปสู่ความยั่งยืนได้จริง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้บุคคลากรในการทำงาน
โดยประเทศไทยกำลังเผชิญกับบริบทแห่งความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนทางเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ Geopolitics ความท้าทายจากช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) ที่ส่งผลต่อค่านิยม ทัศนคติ และรูปแบบการทำงานในองค์กร
สิ่งที่เริ่มปรากฏอย่างชัดเจนคือปัญหาด้านสุขภาวะของคนทำงาน ทั้งในมิติของร่างกายและจิตใจ ผู้คนจำนวนมากต้องเผชิญกับความกดดันที่มากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงที่เร็วขึ้น ทั้งความคาดหวังในการทำงาน ความไม่แน่นอนในเส้นทางอาชีพ และการบริหารสมดุลชีวิตส่วนตัว จนหลายคนตกอยู่ในภาวะ หมดไฟ (Burnout)
ขณะที่องค์กรเองก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาคนเก่ง และสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่มีความหมาย จากสถานการณ์เหล่านี้ ทำให้แนวคิดเรื่อง “Well-being” กลายเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญยิ่งในยุคนี้ การมีสุขภาวะที่ดีในที่ทำงาน ไม่ใช่เพียงการป้องกันความเหนื่อยล้า หรือ Burnout เท่านั้น แต่คือการสร้าง คุณภาพชีวิตในการทำงาน (Quality of Working Life) อย่างแท้จริง
องค์กรที่มีคนที่มีสุขภาพกายดี มีใจที่มั่นคง และมีความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน ย่อมสามารถสร้างผลงานที่ดี มีสติ (Mindfulness) ในการคิด ตัดสินใจ และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์ องค์ประกอบเหล่านี้คือรากฐานของความเชื่อมั่น ความผูกพัน และความไว้วางใจในองค์กร ที่ส่งผลต่อเนื่องถึงประสิทธิภาพ การรักษาคนเก่ง และการเติบโตขององค์กรในระยะยาว
รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สำหรับการสร้างสุขภาวะที่ยั่งยืน โดยส่วนตัวโฟกัสอยู่ 5 เรื่อง คือ การมีไลฟ์สไตล์ที่ดี สุขภาวะทางอารมณ์ดี สิ่งแวดล้อมดี ออกกำลังการอย่างเหมาะสม การนอนหลับดี ซึ่งการมีโครงการ “People Run” จะเป็นจุดเริ่มต้นกระตุ้นให้คนหันมาออกกำลังการมากขึ้น เชื่อว่าหาร่วมกันวิ่งจะเป็นผลบวกในเชิงองค์กร ทำให้สุขภาพของบุคคลากรดีขึ้นด้วย เพราะหากได้เริ่มวิ่งก้าวแรกจะเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเปลี่ยนชีวิตได้
นอกจากนี้ Powering People, Fueling Futures เสริมพลังคน สร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วยศักยภาพและสุขภาวะ ก็ถือเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวและการทำงาน ตลอดจนสังคงและโซเซียล ที่มีบทบาทสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับบคคลากระตุ้นจะการสร้างองค์กรที่ดี
ด้าน นายอัฐ ทองแตง ประธานคณะผู้บริหาร เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล กล่าวว่า ส่วนที่สำคัญในด้านสุขภาวะของบุคคลคือการทำงานแล้วมีความสุข เพราะที่ทำงานคือพื้นที่ที่พนักงงานใช้ชีวิตมากที่สุด และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ซึ่งมีความเครียดเป็นสิ่งสำคัญ ต้องสร้างองค์กรให้มีความสุข
เพราะสุขภาวะทางใจ ประเด็น ความเครียด ความหมดไฟ และภาวะซึมเศร้าซึ่งกำลังกลายเป็นวิกฤตเงียบในที่ทำงาน หลายคนสูญเสีย Passion ในชีวิต ถูกนำมาร่วมพูดคุย ความเครียด โดยไม่รู้ตัว กดดัน สะสม และเมื่อถึงจุดหนึ่งมันก็ระเบิดออกมาในรูปแบบที่องค์กรไม่อาจรับมือทัน
ทั้งนี้ ในมุมมองของผู้บริหารองค์กร สุขภาวะไม่ใช่เรื่องรอง ไม่ใช่ภารกิจเสริม แต่คือ “หัวใจ” ของการบริหารคนในโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง เพราะวันนี้ คนทำงานไม่ได้ต้องการแค่เงินเดือน หรือโต๊ะทำงานที่ดี แต่ต้องการ “คุณภาพชีวิต” ที่ทำให้เขาอยากเติบโตไปกับองค์กร
เพราะสุขภาวะ (Well-being) คือความสุข ความปลอดภัย และความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน คือการที่คนรู้สึกว่า “องค์กรเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต” การส่งมอบวัฒนธรรมที่ทำให้คนลุกขึ้นสู้ได้แม้ในวันที่ยากลำบาก สร้าง Resilience ให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน คือการที่ผู้นำเข้าใจว่า คนเผชิญแรงกดดันจากรอบด้าน
จึงต้องออกแบบองค์กรให้เป็นพื้นที่ “สนับสนุนส่งเสริม” และที่สำคัญที่สุด สุขภาวะต้องไม่ใช่แค่กิจกรรมชั่วคราว แต่ต้องฝังอยู่ใน DNA ขององค์กร เป็น Core Strategy ที่ขับเคลื่อนธุรกิจ พร้อมพาคนไปสู่อนาคต